สิ่งที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย
เห็นว่าเป็นความสุข
ดูกรภิกษุทั้งหลาย !เทวดาและมนุษย์
เป็นผู้มีรูปเป็นที่มายินดีเป็นผู้ยินดีแล้วในรูป
เป็นผู้เพลิดเพลินแล้วในรูปเพราะรูปแปรปรวน คลายไปและดับไป
เทวดาและมนุษย์ ย่อมอยู่เป็นทุกข์…
เทวดาและมนุษย์
เป็นผู้มีเสียงเป็นที่มายินดีเป็นผู้ยินดีแล้วในเสียง
เป็นผู้เพลิดเพลินแล้วในเสียงเพราะเสียงแปรปรวน คลายไปและดับไป
เทวดาและมนุษย์ ย่อมอยู่เป็นทุกข์…
เทวดาและมนุษย์
เป็นผู้มีกลิ่นเป็นที่มายินดีเป็นผู้ยินดีแล้วในกลิ่น
เป็นผู้เพลิดเพลินแล้วในกลิ่นเพราะกลิ่นแปรปรวน คลายไปและดับไป
เทวดาและมนุษย์ ย่อมอยู่เป็นทุกข์…
เทวดาและมนุษย์
เป็นผู้มีรสเป็นที่มายินดีเป็นผู้ยินดีแล้วในรส
เป็นผู้เพลิดเพลินแล้วในรสเพราะรสแปรปรวน คลายไปและดับไป
เทวดาและมนุษย์ ย่อมอยู่เป็นทุกข์…
เทวดาและมนุษย์
เป็นผู้มีโผฏฐัพพะเป็นที่มายินดีเป็นผู้ยินดีแล้วในโผฏฐัพพะ
เป็นผู้เพลิดเพลินแล้วในโผฏฐัพพะเพราะโผฏฐัพพะแปรปรวน คลายไปและดับไป
เทวดาและมนุษย์ ย่อมอยู่เป็นทุกข์…
เทวดาและมนุษย์
เป็นผู้มีธรรมารมณ์เป็นที่มายินดีเป็นผู้ยินดีแล้วในธรรมารมณ์
เป็นผู้เพลิดเพลินแล้วในธรรมารมณ์เพราะธรรมารมณ์แปรปรวน คลายไปและดับไป
เทวดาและมนุษย์ ย่อมอยู่เป็นทุกข์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย !ส่วนตถาคต
ผู้เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
รู้แจ้งแล้วซึ่งความเกิดขึ้น ความดับไป
คุณ โทษและอุบายเป็นเครื่องสลัดออก
แห่งรูปทั้งหลายตามความเป็นจริงไม่เป็นผู้มีรูปเป็นที่มายินดี
ไม่เป็นผู้ยินดีแล้วในรูป
ไม่เป็นผู้เพลิดเพลินแล้วในรูปเพราะรูปแปรปรวน คลายไปและดับไป
ตถาคตย่อมอยู่เป็นสุข…
ส่วนตถาคต
ผู้เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
รู้แจ้งแล้วซึ่งความเกิดขึ้น ความดับไป
คุณ โทษและอุบายเป็นเครื่องสลัดออก
แห่งเสียงทั้งหลายตามความเป็นจริงไม่เป็นผู้มีเสียงเป็นที่มายินดี
ไม่เป็นผู้ยินดีแล้วในเสียง
ไม่เป็นผู้เพลิดเพลินแล้วในเสียงเพราะเสียงแปรปรวน คลายไปและดับไป
ตถาคตย่อมอยู่เป็นสุข…
ส่วนตถาคต
ผู้เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
รู้แจ้งแล้วซึ่งความเกิดขึ้น ความดับไป
คุณ โทษและอุบายเป็นเครื่องสลัดออก
แห่งกลิ่นทั้งหลายตามความเป็นจริงไม่เป็นผู้มีกลิ่นเป็นที่มายินดี
ไม่เป็นผู้ยินดีแล้วในกลิ่น
ไม่เป็นผู้เพลิดเพลินแล้วในกลิ่นเพราะกลิ่นแปรปรวน คลายไปและดับไป
ตถาคตย่อมอยู่เป็นสุข…
ส่วนตถาคต
ผู้เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
รู้แจ้งแล้วซึ่งความเกิดขึ้น ความดับไป
คุณ โทษและอุบายเป็นเครื่องสลัดออก
แห่งรสทั้งหลายตามความเป็นจริงไม่เป็นผู้มีรสเป็นที่มายินดี
ไม่เป็นผู้ยินดีแล้วในรส
ไม่เป็นผู้เพลิดเพลินแล้วในรสเพราะรสแปรปรวน คลายไปและดับไป
ตถาคตย่อมอยู่เป็นสุข…
ส่วนตถาคต
ผู้เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
รู้แจ้งแล้วซึ่งความเกิดขึ้น ความดับไป
คุณ โทษและอุบายเป็นเครื่องสลัดออก
แห่งโผฏฐัพพะทั้งหลายตามความเป็นจริงไม่เป็นผู้มีโผฏฐัพพะเป็นที่มายินดี
ไม่เป็นผู้ยินดีแล้วในโผฏฐัพพะ
ไม่เป็นผู้เพลิดเพลินแล้วในโผฏฐัพพะเพราะโผฏฐัพพะแปรปรวน คลายไปและดับไป
ตถาคตย่อมอยู่เป็นสุข…
ส่วนตถาคต
ผู้เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
รู้แจ้งแล้วซึ่งความเกิดขึ้น ความดับไป
คุณ โทษและอุบายเป็นเครื่องสลัดออก
แห่งธรรมารมณ์ทั้งหลายตามความเป็นจริงไม่เป็นผู้มีธรรมารมณ์เป็นที่มายินดี
ไม่เป็นผู้ยินดีแล้วในธรรมารมณ์
ไม่เป็นผู้เพลิดเพลินแล้วในธรรมารมณ์เพราะธรรมารมณ์แปรปรวน คลายไปและดับไป
ตถาคตย่อมอยู่เป็นสุข
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
และธรรมารมณ์ ทั้งสิ้น
อันน่าปรารถนา น่าใคร่และน่าพอใจ
ที่กล่าวกันว่ามีอยู่ประมาณเท่าใด
รูปารมณ์เป็นต้นเหล่านั้น นั่นแล
เป็นสิ่งอันชาวโลกพร้อมทั้งเทวโลก
สมมติว่าเป็นสุขถ้าว่ารูปารมณ์เป็นต้นเหล่านั้น
ดับไปในที่ใด ที่นั้น เทวดาและมนุษย์เหล่านั้น
สมมติว่าเป็นทุกข์…
ส่วนว่าพระอริยะเจ้าทั้งหลาย
เห็นการดับสักกายะว่าเป็นสุขการเห็นของพระอริยะเจ้าทั้งหลาย
ผู้เห็นอยู่นี้ ย่อมเป็นข้าศึกกับชาวโลกทั้งปวงบุคคลเหล่าอื่นกล่าวสิ่งใด ว่าเป็นสุข
พระอริยะเจ้าทั้งหลายกล่าวสิ่งนั้นว่าเป็นทุกข์บุคคลเหล่าอื่นกล่าวสิ่งใด ว่าเป็นทุกข์
พระอริยะเจ้าทั้งหลายรู้แจ้งสิ่งนั้นว่าเป็นสุข…
เธอจงเห็นธรรมที่รู้ได้ยาก
คนพาลผู้หลง ไม่รู้แจ้งในนิพพานนี้ความมืดย่อมมีแก่บุคคล ผู้ถูกนิวรณ์หุ้มห่อ
เหมือนความมัวมน ย่อมมีแก่บุคคลผู้ไม่เห็นนิพพานย่อมมีแก่สัตบุรุษ
เหมือนแสงสว่าง ย่อมมีแก่บุคคลผู้เห็นชนทั้งหลายแสวงหา ไม่ฉลาดในธรรม
ย่อมไม่รู้แจ้งนิพพาน อันมีในที่ใกล้ธรรมนี้
อันบุคคลผู้ถูกความกำหนัดในภพครอบงำ
ผู้แล่นไปตามกระแสตัณหาในภพ
ผู้อันบ่วงแห่งมารท่วมทับ ไม่ตรัสรู้ได้ง่ายใครหนอ
เว้นจากพระอริยะเจ้าทั้งหลายแล้ว
ย่อมควรเพื่อจะตรัสรู้นิพพานบท
ที่พระอริยะเจ้าทั้งหลายรู้โดยชอบ
เป็นผู้ไม่มีอาสวะปรินิพพาน
( บาลี – สฬา. สํ. ๑๘/๑๕๙-๑๖๐/๒๑๖-๒๑๗ )
เทียบเคียงพระไตรปิฎกบาลีสยามรัฐ กดที่นี้