ธรรมสี่ประการย่อมเป็นไปเพื่อให้ได้
ธรรมสี่ประการ
คหบดี !
ธรรมสี่ประการนี้ น่าปรารถนา
น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลกธรรมสี่ประการ เป็นอย่างไรเล่า ?
ขอโภคทรัพย์
จงเกิดขึ้นแก่เราโดยทางธรรมนี้เป็นธรรมประการที่หนึ่ง
อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่
น่าพอใจ หาได้ยากในโลก
เราได้โภคทรัพย์ทั้งหลาย
โดยทางธรรมแล้วขอยศจงเฟื่องฟูแก่เรา
พร้อมด้วยญาติและมิตรสหาย
นี้เป็นธรรมประการที่สอง
อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่
น่าพอใจ หาได้ยากในโลก
เราได้โภคทรัพย์ทั้งหลาย
โดยทางธรรมแล้วได้ยศ
พร้อมด้วยญาติและมิตรสหายแล้วขอเราจงเป็นอยู่นาน
จงรักษาอายุให้ยั่งยืน
นี้เป็นธรรมประการที่สาม
อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่
น่าพอใจ หาได้ยากในโลก
เราได้โภคทรัพย์ทั้งหลาย
โดยทางธรรมแล้วได้ยศ
พร้อมด้วยญาติและมิตรสหายแล้วเป็นอยู่นาน
รักษาอายุให้ยั่งยืนแล้วเมื่อตายแล้ว
ขอเราจงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์นี้เป็นธรรมประการที่สี่
อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่
น่าพอใจ หาได้ยากในโลก
คหบดี !
ธรรมสี่ประการนี้แล น่าปรารถนา
น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลกคหบดี !
ธรรมสี่ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อให้ได้
ธรรมสี่ประการ อันน่าปรารถนา
น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลกธรรมสี่ประการ เป็นอย่างไรเล่า ?
( ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา )
สัทธาสัมปทา ๑( ความถึงพร้อมด้วยศีล )
สีลสัมปทา ๑( ความถึงพร้อมด้วยการบริจาค )
จาคสัมปทา ๑( ความถึงพร้อมด้วยปัญญา )
ปัญญาสัมปทา ๑
คหบดี !
ก็สัทธาสัมปทา เป็นอย่างไรเล่า ?อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
ย่อมเป็นผู้มีศรัทธา เชื่อปัญญาตรัสรู้ของตถาคตว่า
เพราะเหตุอย่างนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นผู้ไกลจากกิเลส
เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะเป็นผู้ไปแล้วด้วยดี
เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้งเป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึก
ได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่าเป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม
เป็นผู้มีความจำเริญ จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์นี้เรียกว่า สัทธาสัมปทา
ก็สีลสัมปทา เป็นอย่างไรเล่า ?อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้เว้นขาด
จากปาณาติบาตเป็นผู้เว้นขาด
จากอทินนาทานเป็นผู้เว้นขาด
จากกาเมสุมิจฉาจารเป็นผู้เว้นขาด
จากมุสาวาทเป็นผู้เว้นขาด
จากการดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัย
อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทนี้เรียกว่า สีลสัมปทา
ก็จาคสัมปทา เป็นอย่างไรเล่า ?อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
มีใจปราศจากมลทิน คือความตระหนี่มีการบริจาคอันปล่อยอยู่เป็นประจำ
มีฝ่ามืออันชุ่ม ยินดีในการสละเป็นผู้ควรแก่การขอ
ยินดีในการให้และการแบ่งปันนี้เรียกว่า จาคสัมปทา
ก็ปัญญาสัมปทา เป็นอย่างไรเล่า ?บุคคลมีใจอันความโลภอย่างแรงกล้า
คือ อภิชฌาครอบงำแล้ว
ย่อมทำกิจที่ไม่ควรทำ ละเลยกิจที่ควรทำเมื่อทำกิจที่ไม่ควรทำ
และละเลยกิจที่ควรทำเสีย
ย่อมเสื่อมจากยศและความสุข…
บุคคลมีใจอันพยาบาท ถีนมิทธะ
อุทธัจจกุกกุจจะ อันวิจิกิจฉาครอบงำแล้ว
ย่อมทำกิจที่ไม่ควรทำ ละเลยกิจที่ควรทำเมื่อทำกิจที่ไม่ควรทำ
และละเลยกิจที่ควรทำเสีย
ย่อมเสื่อมจากยศและความสุข…
คหบดี !
อริยสาวกนั้นแลรู้ว่า
อภิชฌาวิสมโลภะ เป็นอุปกิเลสแห่งจิตย่อมละอภิชฌาวิสมโลภะ
อันเป็นอุปกิเลสแห่งจิตเสียได้…
อริยสาวกนั้นแลรู้ว่า
พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา
เป็นอุปกิเลสแห่งจิตย่อมละเสีย
ซึ่งสิ่งที่เป็นอุปกิเลสแห่งจิตเหล่านั้น…
คหบดี !
เมื่อใดอริยสาวกรู้ว่า
อภิชฌาวิสมโลภะเป็นอุปกิเลสแห่งจิต ดังนี้แล้วเมื่อนั้นย่อมละเสียได้
…
เมื่อใดอริยสาวกรู้ว่า
พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา
เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ดังนี้แล้วเมื่อนั้นย่อมละสิ่งเหล่านั้นเสียได้
…
อริยสาวกนี้เราเรียกว่า
เป็นผู้มีปัญญามาก มีปัญญาหนาแน่น
เป็นผู้เห็นทาง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญานี้เรียกว่า ปัญญาสัมปทา
คหบดี !
ธรรมสี่ประการเหล่านี้แลย่อมเป็นไปเพื่อให้ได้ธรรมสี่ประการ
อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่
น่าพอใจ หาได้ยากในโลก
( บาลี – จตุกฺก. อํ. ๒๑/๘๕-๙๐/๖๑ )
เทียบเคียงพระไตรปิฎกบาลีสยามรัฐ กดที่นี้