ความมีขึ้นแห่งภพ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !
พระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวอยู่ว่า ภพ–ภพ ดังนี้ภพย่อมมีได้ด้วยเหตุเพียงเท่าไรเล่า
พระเจ้าข้า !…
อานนท์ !
ถ้ากรรมมีกามธาตุเป็นวิบาก จักไม่ได้มีแล้วไซร้
กามภพจะพึงปรากฏได้แลหรือ ?หามิได้ พระเจ้าข้า !
อานนท์ !
ด้วยเหตุนี้แหละ กรรมจึงเป็นเนื้อนา
วิญญาณเป็นเมล็ดพืช
ตัณหาเป็นยางของพืชวิญญาณของสัตว์ทั้งหลาย
มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น
มีตัณหาเป็นเครื่องผูก
ตั้งอยู่แล้ว ด้วยธาตุชั้นทรามการบังเกิดขึ้นในภพใหม่ต่อไป ย่อมมีได้
ด้วยอาการอย่างนี้
อานนท์ !
ถ้ากรรมมีรูปธาตุเป็นวิบาก จักไม่ได้มีแล้วไซร้
รูปภพจะพึงปรากฏได้แลหรือ ?หามิได้ พระเจ้าข้า !
อานนท์ !
ด้วยเหตุนี้แหละ กรรมจึงเป็นเนื้อนา
วิญญาณเป็นเมล็ดพืช
ตัณหาเป็นยางของพืชวิญญาณของสัตว์ทั้งหลาย
มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น
มีตัณหาเป็นเครื่องผูก
ตั้งอยู่แล้วด้วยธาตุชั้นกลางการบังเกิดขึ้นในภพใหม่ต่อไป ย่อมมีได้
ด้วยอาการอย่างนี้
อานนท์ !
ถ้ากรรมมีอรูปธาตุเป็นวิบาก จักไม่ได้มีแล้วไซร้
อรูปภพจะพึงปรากฏได้แลหรือ ?หามิได้ พระเจ้าข้า !
อานนท์ !
ด้วยเหตุนี้แหละ กรรมจึงเป็นเนื้อนา
วิญญาณเป็นเมล็ดพืช
ตัณหาเป็นยางของพืชวิญญาณของสัตว์ทั้งหลาย
มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น
มีตัณหาเป็นเครื่องผูก
ตั้งอยู่แล้วด้วยธาตุชั้นประณีตการบังเกิดขึ้นในภพใหม่ต่อไป ย่อมมีได้
ด้วยอาการอย่างนี้…
อานนท์ !
ภพย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้แล
( บาลี – เอก.-ทุก.-ติก. อํ. ๒๐/๒๘๗-๒๘๘/๕๑๖ )
เทียบเคียงพระไตรปิฎกบาลีสยามรัฐ กดที่นี้