การสวดวิงวอนสรรเสริญ
ให้พร ทำแล้วไม่เกิดผล
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาค
ประทับอยู่ ณ ปาวาริกอัมพวันใกล้เมืองนาฬันทาครั้งนั้นแล
นายบ้านนามว่าอสิพันธกบุตร
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับถวายบังคมพระผู้มีพระภาค
แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า…
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !
พวกพราหมณ์ชาวปัจฉาภูมิ
มีคณโฑน้ำติดตัวประดับพวงมาลัยสาหร่าย
อาบน้ำทุกเช้าเย็น บำเรอไฟพราหมณ์เหล่านั้นเชื่อว่ายังสัตว์ที่ตายทำกาละแล้ว
ให้เป็นขึ้น ให้รู้ชอบ ชวนให้เข้าสวรรค์ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !
ก็พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
สามารถกระทำให้สัตว์โลกทั้งหมดเมื่อตายไปพึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ได้หรือ ?
…
ดูกรนายคามณี !
ถ้าอย่างนั้นเราจักย้อนถามท่านในข้อนี้
ปัญหาควรแก่ท่านด้วยประการใด
ท่านพึงพยากรณ์ปัญหาข้อนั้นด้วยประการนั้นท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ?
บุรุษในโลกนี้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์
ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ
พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ
มากไปด้วยอภิชฌา มีจิตพยาบาท มีความเห็นผิดหมู่มหาชนมาประชุมกัน
แล้วพึงสวดวิงวอนสรรเสริญ
ประนมมือเดินเวียนรอบผู้นั้นว่าขอบุรุษนี้เมื่อตายไป
จงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์…
ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ?
บุรุษนั้นเมื่อตายไป
พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
เพราะเหตุการสวดวิงวอน
เพราะเหตุการสรรเสริญ
เพราะเหตุการประนมมือเดินเวียนรอบดังนี้หรือ ?ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า !
…
ดูกรนายคามณี !
เปรียบเหมือนบุรุษ
โยนหินก้อนหนาใหญ่ลงในห้วงน้ำลึกหมู่มหาชนพึงมาประชุมกัน
แล้วสวดวิงวอนสรรเสริญ
ประนมมือเดินเวียนรอบหินนั้นว่าขอจงโผล่ขึ้นเถิด ท่านก้อนหิน
ขอจงลอยขึ้นเถิด ท่านก้อนหิน
ขอจงขึ้นบกเถิด ท่านก้อนหินท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ?
ก้อนหินนั้นพึงโผล่ขึ้น พึงลอยขึ้น หรือพึงขึ้นบก
เพราะเหตุการสวดวิงวอนสรรเสริญ
ประนมมือเดินเวียนรอบของหมู่มหาชนบ้างหรือ ?ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า !
…
ดูกรนายคามณี !
ฉันนั้นเหมือนกัน บุรุษคนใดฆ่าสัตว์
ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ
พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ
มากไปด้วยอภิชฌา มีจิตพยาบาท มีความเห็นผิดหมู่มหาชนพึงมาประชุมกัน
แล้วสวดวิงวอนสรรเสริญ
ประนมมือเดินเวียนรอบบุรุษนั้นว่าขอบุรุษนี้เมื่อตายไป
จงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค ก็จริงแต่บุรุษนั้นเมื่อตาย
พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
ดูกรนายคามณี !
ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ?บุรุษในโลกนี้เว้นจากปาณาติบาต
อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร
มุสาวาท ปิสุณาวาจา ผรุสวาจา
สัมผัปปลาปะ ไม่มากไปด้วยอภิชฌา
มีจิตไม่พยาบาท มีความเห็นชอบหมู่มหาชนพึงมาประชุมกัน
แล้วสวดวิงวอนสรรเสริญ
ประนมมือเดินเวียนรอบบุรุษนั้นว่าขอบุรุษนี้เมื่อตายไป
จงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก…
ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ?
บุรุษนั้นเมื่อตายไป
พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
เพราะเหตุการสวดวิงวอนสรรเสริญ
เพราะเหตุการประนมมือเดินเวียนรอบ
ของหมู่มหาชนบ้างหรือ ?ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า !
…
ดูกรนายคามณี !
เปรียบเหมือนบุรุษลงยังห้วงน้ำลึก
แล้วพึงทุบหม้อเนยใสหรือหม้อน้ำมันก้อนกรวดหรือก้อนหินที่มีอยู่ในหม้อนั้นพึงจมลง
เนยใสหรือน้ำมันที่มีอยู่ในหม้อนั้นพึงลอยขึ้นหมู่มหาชนพึงมาประชุมกัน
แล้วสวดวิงวอนสรรเสริญ
ประนมมือเดินเวียนรอบเนยใสหรือน้ำมันนั้นว่าขอจงจมลงเถิด ท่านเนยใสและน้ำมัน
ขอจงดำลงเถิด ท่านเนยใสและน้ำมัน
ขอจงลงภายใต้เถิด ท่านเนยใสและน้ำมันท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ?
เนยใสและน้ำมันนั้นพึงจมลง
พึงดำลง พึงลงภายใต้
เพราะเหตุการสวดวิงวอนสรรเสริญ
หรือเพราะเหตุการประนมมือ
เดินเวียนรอบของหมู่มหาชนบ้างหรือ ?ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า !
…
ดูกรนายคามณี !
ฉันนั้นเหมือนกัน บุรุษใดเว้นจากปาณาติบาต
อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร
มุสาวาท ปิสุณาวาจา ผรุสวาจา
สัมผัปปลาปะ ไม่มากไปด้วยอภิชฌา
มีจิตไม่พยาบาท มีความเห็นชอบหมู่มหาชนจะพากันมาประชุม
แล้วสวดวิงวอนสรรเสริญ
ประนมมือเดินเวียนรอบบุรุษนั้นว่าขอบุรุษนี้เมื่อตายไป
จงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ก็จริงแต่บุรุษนั้นเมื่อตายไป
พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว
นายบ้านนามว่าอสิพันธกบุตร
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !
พระธรรมเทศนาของพระองค์แจ่มแจ้งนักข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !
พระธรรมเทศนาของพระองค์แจ่มแจ้งนัก…
พระผู้มีพระภาคทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย
ดุจหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด
บอกทางให้แก่คนหลงทางหรือส่องไฟในที่มืด
ด้วยหวังว่าคนมีจักษุ จักเห็นรูปฉะนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !
ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระผู้มีพระภาค
กับทั้งพระธรรมและภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะขอพระผู้มีพระภาค
โปรดทรงจำข้าพระองค์ ว่าเป็นอุบาสก
ผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะจนตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
( บาลี – สฬา. สํ. ๑๘/๓๘๔-๓๘๗/๕๙๘-๖๐๒ )
เทียบเคียงพระไตรปิฎกบาลีสยามรัฐ กดที่นี้