แม่เรือนชื่อเวเทหิกา
ภิกษุทั้งหลาย
เรื่องเคยมีมาแล้ว
ที่พระนครสาวัตถีนี้แหละ
มีแม่เรือนคนหนึ่งชื่อว่าเวเทหิกาภิกษุทั้งหลาย
เกียรติศัพท์อันงามของแม่เรือนชื่อว่าเวเทหิกา
ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า
แม่เรือนชื่อว่าเวเทหิกา
เป็นคนสงบเสงี่ยมอ่อนโยน เรียบร้อยภิกษุทั้งหลาย
ก็แม่เรือนเวเทหิกา
มีทาสีชื่อกาลีเป็นคนขยัน
ไม่เกียจคร้าน จัดการงานดี…
ต่อมา นางกาลีได้คิดอย่างนี้ว่า
เกียรติศัพท์อันงามของนายหญิงของเรา
ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า
แม่เรือนชื่อว่าเวเทหิกาเป็นคนสงบเสงี่ยม
อ่อนโยน เรียบร้อย ดังนี้นายหญิงของเรา
ไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ภายในให้ปรากฏ
หรือไม่มีความโกรธอยู่เลยหรือว่านายหญิงของเรา
ไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ภายในให้ปรากฏ
ก็เพราะเราจัดการงานทั้งหลายเรียบร้อยดี
ไม่ใช่ไม่มีความโกรธอย่ากระนั้นเลย
จำเราจะต้องทดลองนายหญิงดู
วันรุ่งขึ้นนางกาลีทาสี
ก็แสร้งลุกขึ้นสายภิกษุทั้งหลาย
ฝ่ายแม่เรือนเวเทหิกา
ก็ได้ตวาดนางกาลีทาสีขึ้นว่า
เฮ้ย อีคนใช้กาลีนางกาลีจึงขานรับว่า
อะไรเจ้าขาเว. เฮ้ย เองเป็นอะไรจึงลุกจนสาย
กา. ไม่เป็นอะไรดอก เจ้าค่ะ
นางจึงกล่าวอีกว่า
อีคนชั่วร้าย ก็เมื่อไม่เป็นอะไร
ทำไมเองจึงลุกขึ้นจนสายดังนี้แล้ว ก็โกรธ ขัดใจ ทำหน้าบึ้ง
…
ภิกษุทั้งหลาย
ทีนั้นนางกาลีทาสีจึงคิดว่านายหญิงของเรา
ไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ในภายในให้ปรากฏเท่านั้น
ไม่ใช่ไม่มีความโกรธที่ไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ในภายในให้ปรากฏ
ก็เพราะเราจัดการงานทั้งหลายเรียบร้อยดี
ไม่ใช่ไม่มีความโกรธอย่ากระนั้นเลย
เราจะต้องทดลองนายหญิงให้ยิ่งขึ้นไป
ภิกษุทั้งหลาย
ถัดจากวันนั้นมา
นางกาลีทาสีจึงลุกขึ้นสายกว่านั้นอีกครั้งนั้น
แม่เรือนเวเทหิกาก็ตวาดนางกาลีทาสีอีกว่า
เฮ้ย อีคนใช้กาลีกา. อะไรเล่า เจ้าข้า
เว. อีคนใช้ เองเป็นอะไรจึงนอนตื่นสาย
กา. ไม่เป็นอะไรดอก เจ้าค่ะ
นางจึงกล่าวอีกว่า
เฮ้ย อีคนชั่วร้าย ก็เมื่อไม่เป็นอะไร
ทำไมเองจึงนอนตื่นสายเล่าดังนี้แล้ว ก็โกรธ ขัดใจ
แผดเสียงด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย…
ภิกษุทั้งหลาย
ทีนั้น นางกาลีทาสีจึงคิดดังนี้ว่านายหญิงของเรา
ไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ในภายในให้ปรากฏเท่านั้น
ไม่ใช่ไม่มีความโกรธที่ไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ในภายในให้ปรากฏ
ก็เพราะเราจัดการงานทั้งหลายให้เรียบร้อยดี
ไม่ใช่ไม่มีความโกรธอย่ากระนั้นเลย
เราจะต้องทดลองให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก ดังนี้
ภิกษุทั้งหลาย
แต่นั้นมา
นางกาลีทาสีก็ลุกขึ้นสายกว่าทุกวันครั้งนั้น
แม่เรือนเวเทหิกาผู้นาย
ก็ร้องด่าตวาดนางกาลีทาสีอีกว่า
อีกาลีตัวร้ายกา. อะไรเล่า เจ้าข้า
เว. อีคนใช้ เองเป็นอะไร จึงตื่นสายนักเล่า
กา. ไม่เป็นอะไรดอก เจ้าค่ะ
นางจึงกล่าวอีกว่า
เฮ้ย อีชาติชั่ว ก็ไม่เป็นอะไร
ทำไมจึงนอนตื่นสายนักเล่าดังนี้แล้ว ก็โกรธจัด
จึงคว้าลิ่มประตูปาศีรษะ
ปากก็ว่า กูจะทำลายหัวมึง…
ภิกษุทั้งหลาย
คราวนั้น
นางกาลีทาสีมีศีรษะแตก โลหิตไหลโซม
จึงเที่ยวโพนทะนาให้บ้านใกล้เคียงทราบว่าคุณแม่คุณพ่อทั้งหลาย
เชิญดูการกระทำของคนสงบเสงี่ยม
อ่อนโยน เรียบร้อยเอาเถิดทำไมจึงทำแก่ทาสีคนเดียวอย่างนี้เล่า
เพราะโกรธเคืองว่านอนตื่นสาย
จึงคว้าลิ่มประตูปาเอาศีรษะ
ปากก็ว่า กูจะทำลายหัวมึง ดังนี้…
ภิกษุทั้งหลาย
แต่นั้นมา
เกียรติศัพท์อันชั่วของแม่เรือนเวเทหิกา
ก็ขจรไปอย่างนี้ว่า
แม่เรือนเวเทหิกาเป็นคนดุร้าย
ไม่อ่อนโยน ไม่สงบเสงี่ยมเรียบร้อย
แม้ฉันใดภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุบางรูปในกรณีนี้
ก็ฉันนั้นเหมือนกันเป็นผู้สงบเสงี่ยมเต็มที่อยู่ได้
อ่อนน้อมถ่อมตนเต็มที่อยู่ได้
เยือกเย็นเต็มที่อยู่ได้
เพียงชั่วเวลาที่ถ้อยคำอันไม่น่าพอใจไม่มากระทบเท่านั้น…
ก็เมื่อใด
ถ้อยคำอันไม่น่าพอใจมากระทบอยู่
ก็ยังสงบเสงี่ยมอยู่ได้
นั่นแหละจึงเป็นที่รู้กันได้ว่าสงบเสงี่ยมจริงยังอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่ได้
จึงจะอ่อนน้อมถ่อมตนจริงยังเยือกเย็นอยู่ได้
จึงจะว่าเยือกเย็นจริง…
ภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุใดเป็นผู้ว่าง่าย
หรือถึงความเป็นผู้ว่าง่าย
เพราะเหตุเพื่อจะได้จีวร บิณฑบาต
เสนาสนะและคิลานเภสัช
เราไม่กล่าวภิกษุนั้นว่าเป็นผู้ว่าง่ายเลยข้อนั้นเพราะเหตุอะไร
เพราะเหตุว่า
ภิกษุนี้เมื่อไม่ได้จีวร บิณฑบาต
เสนาสนะและคิลานเภสัชนั้น
ก็จะไม่เป็นผู้ว่าง่าย ไม่ถึงความเป็นผู้ว่าง่าย…
ภิกษุทั้งหลาย
ส่วนภิกษุใด
สักการะธรรมอยู่
เคารพธรรมอยู่
นอบน้อมธรรมอยู่
เป็นผู้ว่าง่าย ถึงความเป็นผู้ว่าง่ายอยู่
เราเรียกภิกษุรูปนั้นว่าผู้ว่าง่ายแท้จริง ดังนี้ภิกษุทั้งหลาย
เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้
เธอทั้งหลายพึงทำการศึกษาอย่างนี้ว่า
เราจักเป็นผู้สักการะ เคารพ นอบน้อมธรรมอยู่
จักเป็นผู้ว่าง่าย จักถึงความเป็นผู้ว่าง่าย ดังนี้
( บาลี – มู. ม. ๑๒/๒๕๒-๒๕๕/๒๖๖ )
เทียบเคียงพระไตรปิฎกบาลีสยามรัฐ กดที่นี้