วิญญาณ ไม่ใช่สิ่งที่ท่องเที่ยวไป



สาติ
ได้ยินว่าเธอมีทิฏฐิอันชั่ว
เห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า
เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรม
ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า

วิญญาณนี้นั่นแหละ
ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป
หาใช่สิ่งอื่นไม่ ดังนี้ จริงหรือ

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์ย่อมรู้ทั่วถึงธรรม
ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า

วิญญาณนี้แหละ
ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป หาใช่สิ่งอื่นไม่ดังนี้ จริง

สาติ
วิญญาณนั้นเป็นอย่างไร

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
สภาวะที่พูดได้ รับรู้ได้
ย่อมเสวยวิบากของกรรมทั้งหลาย
ทั้งส่วนดี ทั้งส่วนชั่วในที่นั้น ๆ นั่นเป็นวิญญาณ

โมฆบุรุษ
เธอรู้ทั่วถึงธรรมอย่างนี้ที่เราแสดงแล้วแก่ใครเล่า

โมฆบุรุษ
วิญญาณเป็นปฏิจจสมุปปันนธรรม
เราได้กล่าวแล้วโดยอเนกปริยาย
ถ้าเว้นจากปัจจัยแล้ว
ความที่เกิดขึ้นแห่งวิญญาณมิได้มี ดังนี้ มิใช่หรือ

โมฆบุรุษ
ก็เมื่อเป็นดังนั้น
เธอกล่าวตู่เราด้วย ขุดตนเสียด้วย
จะประสบสิ่งมิใช่บุญเป็นอันมากด้วย
เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว

โมฆบุรุษ
ก็ความเห็นนั้นของเธอ
จักเป็นไปเพื่อความทุกข์
ไม่เกื้อกูลแก่เธอตลอดกาลนาน

ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า

ภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอจะสำคัญความนั้นเป็นอย่างไร
ภิกษุสาติเกวัฏฏบุตรนี้
จะเป็นผู้ทำความเจริญ
ในธรรมวินัยนี้ได้บ้างหรือไม่

ข้อนี้จะมีได้อย่างไร
ข้อนี้มีไม่ได้เลย พระเจ้าข้า

เมื่อภิกษุทั้งหลายทูลอย่างนี้แล้ว
ภิกษุสาติเกวัฏฏบุตร นั่งนิ่ง ก้อเขิน
คอตก ก้มหน้า ซบเซา ไม่มีปฏิภาณ



พระผู้มีพระภาคทอดพระเนตรเห็นดังนั้นแล้ว

ได้ตรัสว่า

โมฆบุรุษ
เธอจักปรากฏด้วยทิฏฐิอันชั่วของตนนั้น
เราจักสอบถามภิกษุทั้งหลายในที่นี้

ภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอย่อมรู้ทั่วถึงธรรมที่เราแสดงแล้ว
เหมือนสาติภิกษุ
กล่าวตู่เราด้วย ขุดตนเสียด้วย
จะประสบสิ่งมิใช่บุญเป็นอันมากด้วย
เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่ว แล้วดังนี้หรือ

ข้อนี้ไม่มีเลย พระเจ้าข้า

เพราะวิญญาณอาศัยปัจจัยแล้วเกิดขึ้น
พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วแก่พวกข้าพระองค์
โดยอเนกปริยาย
ถ้าเว้นจากปัจจัยแล้ว
ความเกิดแห่งวิญญาณมิได้มี

ภิกษุทั้งหลาย
ดีละ พวกเธอรู้ถึงธรรมที่เราแสดงอย่างนี้ ถูกแล้ว

ภิกษุทั้งหลาย
วิญญาณอาศัยปัจจัยแล้วเกิดขึ้น
เราได้กล่าวแล้วโดยอเนกปริยาย

ถ้าเว้นจากปัจจัยแล้ว
ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณมิได้มี

ก็แต่ภิกษุสาติเกวัฏฏบุตรนี้
กล่าวตู่เราด้วย ขุดตนเสียด้วย
จะประสบสิ่งมิใช่บุญเป็นอันมากด้วย
เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว
ความเห็นนั้นของโมฆบุรุษนั้น
จักเป็นไปเพื่อความทุกข์
ไม่เกื้อกูลแก่เธอตลอดกาลนาน



ภิกษุทั้งหลาย
วิญญาณอาศัยปัจจัยใด ๆ เกิดขึ้น
ก็ถึงความนับด้วยปัจจัยนั้น ๆ

วิญญาณอาศัยจักษุ
และรูปทั้งหลายเกิดขึ้น
ก็ถึงความนับว่า จักษุวิญญาณ

วิญญาณอาศัยโสต
และเสียงทั้งหลายเกิดขึ้น
ก็ถึงความนับว่า โสตวิญญาณ

วิญญาณอาศัยฆานะ
และกลิ่นทั้งหลายเกิดขึ้น
ก็ถึงความนับว่า ฆานวิญญาณ

วิญญาณอาศัยชิวหา
และรสทั้งหลายเกิดขึ้น
ก็ถึงความนับว่า ชิวหาวิญญาณ

วิญญาณอาศัยกาย
และโผฏฐัพพะทั้งหลายเกิดขึ้น
ก็ถึงความนับว่า กายวิญญาณ

วิญญาณอาศัยมนะ
และธรรมทั้งหลายเกิดขึ้น
ก็ถึงความนับว่า มโนวิญญาณ

เปรียบเหมือนไฟอาศัยเชื้อใด ๆ ติดขึ้น
ก็ถึงความนับด้วยเชื้อนั้น ๆ

ไฟอาศัยไม้ติดขึ้น
ก็ถึงความนับว่า ไฟไม้

ไฟอาศัยป่าติดขึ้น
ก็ถึงความนับว่า ไฟป่า

ไฟอาศัยหญ้าติดขึ้น
ก็ถึงความนับว่า ไฟหญ้า

ไฟอาศัยโคมัยติดขึ้น
ก็ถึงความนับว่า ไฟโคมัย

ไฟอาศัยแกลบติดขึ้น
ก็ถึงความนับว่า ไฟแกลบ

ไฟอาศัยหยากเยื่อติดขึ้น
ก็ถึงความนับว่า ไฟหยากเยื่อ ฉันใด

ภิกษุทั้งหลาย
ฉันนั้นก็เหมือนกัน

วิญญาณอาศัยปัจจัยใด ๆ เกิดขึ้น
ก็ถึงความนับด้วยปัจจัยนั้น ๆ

วิญญาณอาศัยจักษุ
และรูปทั้งหลายเกิดขึ้น
ก็ถึงความนับว่า จักษุวิญญาณ

วิญญาณอาศัยโสต
และเสียงทั้งหลายเกิดขึ้น
ก็ถึงความนับว่า โสตวิญญาณ

วิญญาณอาศัยฆานะ
และกลิ่นทั้งหลายเกิดขึ้น
ก็ถึงความนับว่า ฆานวิญญาณ

วิญญาณอาศัยชิวหา
และรสทั้งหลายเกิดขึ้น
ก็ถึงความนับว่า ชิวหาวิญญาณ

วิญญาณอาศัยกาย
และโผฏฐัพพะทั้งหลายเกิดขึ้น
ก็ถึงความนับว่า กายวิญญาณ

วิญญาณอาศัยมนะ
และธรรมทั้งหลายเกิดขึ้น
ก็ถึงความนับว่า มโนวิญญาณ



ภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายย่อมเห็น
ขันธ์ ๕ ที่เกิดขึ้นแล้วหรือไม่

เห็น พระเจ้าข้า

เธอทั้งหลายย่อมเห็นว่า
ขันธ์ ๕ นั้นเกิดขึ้นเพราะอาหาร เช่นนั้นหรือ

เห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า

เธอทั้งหลายย่อมเห็นว่า
ขันธ์ ๕ นั้นมีความดับเป็นธรรมดา
เพราะความดับแห่งอาหาร เช่นนั้นหรือ

เห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า

ความสงสัยย่อมเกิดขึ้น
เพราะความเคลือบแคลงว่า
ขันธ์ ๕ นี้มีอยู่ หรือไม่หนอ

เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า

ความสงสัยย่อมเกิดขึ้น
เพราะความเคลือบแคลงว่า
ขันธ์ ๕ เกิดขึ้นเพราะอาหารนั้น หรือไม่หนอ

เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า

ความสงสัยย่อมเกิดขึ้น
เพราะความเคลือบแคลงว่า
ขันธ์ ๕ นั้นมีความดับเป็นธรรมดา
เพราะความดับแห่งอาหารนั้น หรือไม่หนอ

เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า

บุคคลเห็นอยู่ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า
ขันธ์ ๕ นี้เกิดขึ้นแล้ว
ย่อมละความสงสัยที่เกิดขึ้นเสียได้ เช่นนั้นหรือ

เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า

บุคคลเห็นอยู่ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า
ขันธ์ ๕ เกิดเพราะอาหารนั่น
ย่อมละความสงสัยที่เกิดนี้เสียได้ เช่นนั้นหรือ

เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า

บุคคลเห็นอยู่ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า
ขันธ์ ๕ นั้นมีความดับเป็นธรรมดา
เพราะความดับแห่งอาหารนั้น
ย่อมละความสงสัยที่เกิดขึ้น เสียได้หรือ

เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า

เธอทั้งหลายหมดความสงสัยในข้อว่า
ขันธ์ ๕ นี้เกิดแล้ว แม้ดังนี้หรือ

เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า

เธอทั้งหลายหมดความสงสัยในข้อว่า
ขันธ์ ๕ เกิดเพราะอาหารนั้น แม้ดังนี้หรือ

เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า

เธอทั้งหลายหมดความสงสัยในข้อว่า
ขันธ์ ๕ นั้นมีความดับเป็นธรรมดา
เพราะความดับแห่งอาหารนั้น แม้ดังนี้หรือ

เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า

เธอทั้งหลายเห็นดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบ
ตามความเป็นจริงว่า
ขันธ์ ๕ นี้เกิดแล้ว ดังนี้หรือ

เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า

เธอทั้งหลายเห็นดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบ
ตามความเป็นจริงว่า
ขันธ์ ๕ เกิดเพราะอาหารนั้น ดังนี้หรือ

เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า

เธอทั้งหลายเห็นดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบ
ตามความเป็นจริงว่า
ขันธ์ ๕ นั้นมีความดับเป็นธรรมดา
เพราะความดับแห่งอาหารนั้น ดังนี้หรือ

เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า



หากว่าเธอทั้งหลาย
พึงติดอยู่ เพลินอยู่
ปรารถนาอยู่ ยึดถือเป็นของเราอยู่
ซึ่งทิฏฐินี้อันบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างนี้
( ด้วยตัณหาและทิฏฐิ )

เธอทั้งหลายพึงรู้ทั่วถึงธรรมที่เปรียบได้กับพ่วงแพ
อันเราแสดงแล้ว เพื่อประโยชน์ในอันสลัดออก
มิใช่แสดงแล้วเพื่อประโยชน์ในอันถือไว้บ้างหรือหนอ

ข้อนี้ไม่อย่างนั้น พระเจ้าข้า

หากว่าเธอทั้งหลาย
ไม่ติดอยู่ ไม่เพลินอยู่
ไม่ปรารถนาอยู่ ไม่ยึดถือเป็นของเราอยู่
ซึ่งทิฏฐิอันบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างนี้

เธอทั้งหลายพึงรู้ทั่วถึงธรรมที่เปรียบได้กับพ่วงแพ
อันเราแสดงแล้ว เพื่อประโยชน์ในอันสลัดออก
ไม่ใช่แสดงแล้วเพื่อประโยชน์ในอันถือไว้บ้างหรือหนอ

เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า


( บาลี – มู. ม. ๑๒/๔๗๔-๔๗๙/๔๔๒-๔๔๕ )
เทียบเคียงพระไตรปิฎกบาลีสยามรัฐ กดที่นี้


Create by buddha-quote.com