ผล ๘ ประการของความเป็นโสดาบัน
ภิกษุทั้งหลาย !
ถูกแล้ว เมื่อเป็นอย่างนี้ก็เป็นอันว่า
พวกเธอทั้งหลายก็กล่าวอย่างนั้น
แม้เราตถาคตก็กล่าวอย่างนั้นว่าเมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี
เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้ย่อมดับกล่าวคือ
เพราะมีความดับแห่งอวิชชา
จึงมีความดับแห่งสังขารเพราะมีความดับแห่งสังขาร
จึงมีความดับแห่งวิญญาณเพราะมีความดับแห่งวิญญาณ
จึงมีความดับแห่งนามรูปเพราะมีความดับแห่งนามรูป
จึงมีความดับแห่งสฬายตนะเพราะมีความดับแห่งสฬายตนะ
จึงมีความดับแห่งผัสสะเพราะมีความดับแห่งผัสสะ
จึงมีความดับแห่งเวทนาเพราะมีความดับแห่งเวทนา
จึงมีความดับแห่งตัณหาเพราะมีความดับแห่งตัณหา
จึงมีความดับแห่งอุปาทานเพราะมีความดับแห่งอุปาทาน
จึงมีความดับแห่งภพเพราะมีความดับแห่งภพ
จึงมีความดับแห่งชาติเพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล
ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส
อุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้นความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้
ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้
( ๑ )
ภิกษุทั้งหลาย !
จะเป็นไปได้ไหมว่า
พวกเธอเมื่อรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้
จึงพึงแล่นไปสู่ทิฏฐิอันปรารภที่สุดในเบื้องต้นว่า
ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เราได้มีแล้วหรือหนอ
เราไม่ได้มีแล้วหรือหนอ
เราได้เป็นอะไรแล้วหนอ
เราได้เป็นอย่างไรแล้วหนอ
เราเป็นอะไรแล้วจึงได้เป็นอะไรอีกแล้วหนอ ดังนี้ข้อนั้น หามิได้ พระเจ้าข้า !
…
( ๒ )
ภิกษุทั้งหลาย !
หรือว่าจะเป็นไปได้ไหมว่า
พวกเธอเมื่อรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้
จะพึงแล่นไปสู่ทิฏฐิอันปรารภที่สุดในเบื้องปลายว่า
ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เราจักมีหรือหนอ
เราจักไม่มีหรือหนอ
เราจักเป็นอะไรหนอ
เราจักเป็นอย่างไรหนอ
เราเป็นอะไรแล้วจักเป็นอะไรต่อไปหนอ ดังนี้ข้อนั้นหามิได้ พระเจ้าข้า !
…
( ๓ )
ภิกษุทั้งหลาย !
หรือว่าจะเป็นไปได้ไหมว่า
พวกเธอเมื่อรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้
จะพึงเป็นผู้มีความสงสัยเกี่ยวกับตน
ปรารภกาลอันเป็นปัจจุบัน ในกาลนี้ว่า
เรามีอยู่หรือหนอ
เราไม่มีอยู่หรือหนอ
เราเป็นอะไรหนอ
เราเป็นอย่างไรหนอ
สัตว์นี้มาจากที่ไหนแล้วจักเป็นผู้ไปสู่ที่ไหนอีกหนอ ดังนี้ข้อนั้นหามิได้ พระเจ้าข้า !
…
( ๔ )
ภิกษุทั้งหลาย !
หรือว่าจะเป็นไปได้ไหมว่า
พวกเธอเมื่อรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้
แล้วจะพึงกล่าวว่า
พระศาสดาเป็นครูของพวกเรา
ดังนั้นพวกเราต้องกล่าวอย่างที่ท่านกล่าว
เพราะความเคารพในพระศาสดานั่นเทียว ดังนี้ข้อนั้นหามิได้ พระเจ้าข้า !
…
( ๕ )
ภิกษุทั้งหลาย !
หรือว่าจะเป็นไปได้ไหมว่า
พวกเธอเมื่อรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้
แล้วจะพึงกล่าวว่า พระสมณะ
กล่าวแล้วอย่างนี้
แต่สมณะทั้งหลายและพวกเราจะกล่าวอย่างอื่น ดังนี้ข้อนั้นหามิได้ พระเจ้าข้า !
…
( ๖ )
ภิกษุทั้งหลาย !
หรือว่าจะเป็นไปได้ไหมว่า
พวกเธอเมื่อรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้
จะพึงประกาศการนับถือศาสดาอื่นข้อนั้นหามิได้ พระเจ้าข้า !
…
( ๗ )
ภิกษุทั้งหลาย !
หรือว่าจะเป็นไปได้ไหมว่า
พวกเธอเมื่อรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้
จะพึงเวียนกลับไปสู่การประพฤติ
ซึ่งวัตตโกตูหลมงคลทั้งหลายตาม
แบบของสมณพราหมณ์ทั้งหลายเหล่าอื่นเป็นอันมาก
โดยความเป็นสาระข้อนั้นหามิได้ พระเจ้าข้า !
…
( ๘ )
ภิกษุทั้งหลาย !
พวกเธอจะกล่าวแต่สิ่งที่พวกเธอรู้เอง
เห็นเอง รู้สึกเองแล้วเท่านั้น มิใช่หรืออย่างนั้น พระเจ้าข้า !
ภิกษุทั้งหลาย !
ถูกแล้วภิกษุทั้งหลาย !
พวกเธอทั้งหลาย
เป็นผู้ที่เรานำไปแล้วด้วยธรรมนี้อันเป็นธรรมที่บุคคลจะพึงเห็นได้ด้วยตนเอง
( สนฺทิฏฐิโก )เป็นธรรมให้ผลไม่จำกัดกาล
( อกาลิโก )เป็นธรรมที่ควรเรียกกันมาดู
( เอหิปสฺสิโก )ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว
( โอปนยิโก )อันวิญญูชนจะพึงรู้ได้เฉพาะตน
( ปจฺจตฺต เวทิตพฺโพวิญฺญูหิ )…
ภิกษุทั้งหลาย !
คำนี้เรากล่าวแล้วหมายถึง
คำที่เราได้เคยกล่าวไว้แล้วว่าภิกษุทั้งหลาย !
ธรรมนี้
เป็นธรรมที่บุคคลจะพึงเห็นได้ด้วยตนเอง
เป็นธรรมให้ผลไม่จำกัดกาล
เป็นธรรมที่ควรเรียกกันมาดู
ควรน้อมเข้ามาใส่ตน
อันวิญญูชนจะพึงรู้ได้เฉพาะตน ดังนี้
( บาลี – มู. ม. ๑๒/๔๘๕-๔๘๗/๔๕๐-๔๕๑ )
เทียบเคียงพระไตรปิฎกบาลีสยามรัฐ กดที่นี้