ระดับต่าง ๆ แห่งบุคคล
ผู้ถอนตัวขึ้นจากทุกข์
ภิกษุทั้งหลาย !
บุคคลเปรียบด้วยบุคคลตกน้ำ
เจ็ดจำพวกเหล่านี้มีอยู่ หาได้อยู่ในโลกเจ็ดจำพวกเหล่าไหนเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย !
ในกรณีนี้ บุคคลบางคน
จมน้ำคราวเดียวแล้วก็จมเลยบุคคลบางคน
ผุดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วจึงจมเลยบุคคลบางคน
ผุดขึ้นแล้วลอยตัวอยู่บุคคลบางคน
ผุดขึ้นแล้วเหลียวดูรอบ ๆ อยู่บุคคลบางคน
ผุดขึ้นแล้วว่ายเข้าหาฝั่งบุคคลบางคน
ผุดขึ้นแล้วเดินเข้ามาถึงที่ตื้นแล้วบุคคลบางคน
ผุดขึ้นแล้วถึงฝั่งข้ามขึ้นบกแล้วเป็นพราหมณ์ยืนอยู่
( ๑ )
ภิกษุทั้งหลาย !
บุคคลจมน้ำคราวเดียวแล้วก็จมเลยเป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย !
บุคคลบางคนในกรณีนี้ประกอบด้วย
อกุศลธรรมฝ่ายเดียว โดยส่วนเดียวอย่างนี้แล เรียกว่า
จมคราวเดียวแล้วก็จมเลย
( ๒ )
ภิกษุทั้งหลาย !
บุคคลผุดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วจึงจมเลยเป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย !
บุคคลบางคนในกรณีนี้ผุดขึ้น คือ
มีศรัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลายมีหิริดี มีโอตตัปปะดี มีวิริยะดี
มีปัญญาดี ในกุศลธรรมทั้งหลายแต่ว่าศรัทธาเป็นต้นของเขา
ไม่ตั้งอยู่นาน ไม่เจริญ เสื่อมสิ้นไปอย่างนี้แล เรียกว่า
ผุดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วจึงจมเลย
( ๓ )
ภิกษุทั้งหลาย !
บุคคลผุดขึ้นแล้วลอยตัวอยู่เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย !
บุคคลบางคนในกรณีนี้ผุดขึ้น คือ
มีศรัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลายมีหิริดี มีโอตตัปปะดี มีวิริยะดี
มีปัญญาดี ในกุศลธรรมทั้งหลายและศรัทธาเป็นต้นของเขา
ไม่เสื่อม ไม่เจริญ แต่ทรงตัวอยู่อย่างนี้แล เรียกว่า
ผุดขึ้นแล้วลอยตัวอยู่
( ๔ )
ภิกษุทั้งหลาย !
บุคคลผุดขึ้นแล้วเหลียวดูรอบ ๆ อยู่เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย !
บุคคลบางคนในกรณีนี้ผุดขึ้น คือ
มีศรัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลายมีหิริดี มีโอตตัปปะดี มีวิริยะดี
มีปัญญาดี ในกุศลธรรมทั้งหลายบุคคลนั้นเพราะความสิ้นไป
แห่งสังโยชน์สาม เป็นโสดาบันมีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา
เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อพระนิพพาน
มีการตรัสรู้พร้อมในเบื้องหน้าอย่างนี้แล เรียกว่า
ผุดขึ้นแล้วเหลียวดูรอบ ๆ อยู่
( ๕ )
ภิกษุทั้งหลาย !
บุคคลผุดขึ้นแล้วว่ายเข้าหาฝั่งเป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย !
บุคคลบางคนในกรณีนี้ผุดขึ้น คือ
มีศรัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลายมีหิริดี มีโอตตัปปะดี มีวิริยะดี
มีปัญญาดี ในกุศลธรรมทั้งหลายบุคคลนั้นเพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์สาม
และเพราะความเบาบางแห่ง
ราคะ โทสะ โมหะ เป็นสกทาคามีมาสู่โลกนี้อีกเพียงครั้งเดียว
แล้วทำที่สุดแห่งทุกข์ได้อย่างนี้แล เรียกว่า
ผุดขึ้นแล้วว่ายเข้าหาฝั่ง
( ๖ )
ภิกษุทั้งหลาย !
บุคคลผุดขึ้นแล้วเดินเข้ามาถึงที่ตื้นแล้วเป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย !
บุคคลบางคนในกรณีนี้ผุดขึ้น คือ
มีศรัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลายมีหิริดี มีโอตตัปปะดี มีวิริยะดี
มีปัญญาดี ในกุศลธรรมทั้งหลายบุคคลนั้นเพราะความสิ้นไป
แห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้า เป็นโอปปาติกะมีการปรินิพพานในภพนั้น
ไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดาอย่างนี้แล เรียกว่า
ผุดขึ้นแล้วเดินเข้ามาถึงที่ตื้นแล้ว
( ๗ )
ภิกษุทั้งหลาย !
บุคคลผุดขึ้นแล้วถึงฝั่ง
ข้ามขึ้นบกแล้วเป็นพราหมณ์ยืนอยู่เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย !
บุคคลบางคนในกรณีนี้ผุดขึ้น คือ
มีศรัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลายมีหิริดี มีโอตตัปปะดี มีวิริยะดี
มีปัญญาดี ในกุศลธรรมทั้งหลายบุคคลนั้นได้กระทำให้แจ้ง
ซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในทิฏฐธรรมนี้เข้าถึง แล้วอยู่อย่างนี้แล เรียกว่า
ผุดขึ้นแล้วถึงฝั่งข้ามขึ้นบกแล้วเป็นพราหมณ์ยืนอยู่…
ภิกษุทั้งหลาย !
เหล่านี้แลบุคคลเปรียบด้วยบุคคลตกน้ำ
เจ็ดจำพวกซึ่งมีอยู่ หาได้อยู่ในโลก
( บาลี – สตฺตก.-อฏฺฐก.-นวก. อํ. ๒๓/๑๐-๑๒/๑๕ )
เทียบเคียงพระไตรปิฎกบาลีสยามรัฐ กดที่นี้