ลักษณะสิ่งที่เป็นอนัตตา



สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่
ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้พระนครพาราณาสี
ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุปัญจวัคคีย์

แล้วตรัสว่า

ภิกษุทั้งหลาย
รูปเป็นอนัตตา
ก็หากว่ารูปนี้จักเป็นอัตตาแล้วไซร้
รูปก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ
ทั้งสัตว์ย่อมจะได้ตามความปรารถนาในรูปว่า
ขอรูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด
อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

แต่เพราะเหตุที่รูปเป็นอนัตตา
ดังนั้น รูปจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
และสัตว์ย่อมไม่ได้ตามความปรารถนาในรูปว่า
ขอรูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด
อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

ภิกษุทั้งหลาย
เวทนาเป็นอนัตตา
ก็หากว่าเวทนานี้จักเป็นอัตตาแล้วไซร้
เวทนาก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ
ทั้งสัตว์ย่อมจะได้ตามความปรารถนาในเวทนาว่า
ขอเวทนาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด
อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

แต่เพราะเหตุที่เวทนาเป็นอนัตตา
ดังนั้น เวทนาจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
และสัตว์ย่อมไม่ได้ตามความปรารถนาในเวทนาว่า
ขอเวทนาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด
อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

ภิกษุทั้งหลาย
สัญญาเป็นอนัตตา
ก็หากว่าสัญญานี้จักเป็นอัตตาแล้วไซร้
สัญญาก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ
ทั้งสัตว์ย่อมจะได้ตามความปรารถนาในสัญญาว่า
ขอสัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด
อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

แต่เพราะเหตุที่สัญญาเป็นอนัตตา
ดังนั้น สัญญาจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
และสัตว์ย่อมไม่ได้ตามความปรารถนาในสัญญาว่า
ขอสัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด
อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

ภิกษุทั้งหลาย
สังขารเป็นอนัตตา
ก็หากว่าสังขารนี้จักเป็นอัตตาแล้วไซร้
สังขารก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ
ทั้งสัตว์ย่อมจะได้ตามความปรารถนาในสังขารว่า
ขอสังขารของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด
อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

แต่เพราะเหตุที่สังขารเป็นอนัตตา
ดังนั้น สังขารจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
และสัตว์ย่อมไม่ได้ตามความปรารถนาในสังขารว่า
ขอสังขารของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด
อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

ภิกษุทั้งหลาย
วิญญาณเป็นอนัตตา
ก็หากว่าวิญญาณนี้จักเป็นอัตตาแล้วไซร้
วิญญาณก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ
ทั้งสัตว์ย่อมจะได้ตามความปรารถนาในวิญญาณว่า
ขอวิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด
อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

แต่เพราะเหตุที่วิญญาณเป็นอนัตตา
ดังนั้น วิญญาณจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
และสัตว์ย่อมไม่ได้ตามความปรารถนาในวิญญาณว่า
ขอวิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด
อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย



ภิกษุทั้งหลาย
เธอจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร
รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง

ไม่เที่ยง ภันเต

ก็สิ่งใดไม่เที่ยง
สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า

เป็นทุกข์ ภันเต

ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ควรหรือหนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า
นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา

ไม่ควรเห็นอย่างนั้น ภันเต

ภิกษุทั้งหลาย
เธอจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร
เวทนาเที่ยงหรือไม่เที่ยง

ไม่เที่ยง ภันเต

ก็สิ่งใดไม่เที่ยง
สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า

เป็นทุกข์ ภันเต

ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ควรหรือหนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า
นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา

ไม่ควรเห็นอย่างนั้น ภันเต

ภิกษุทั้งหลาย
เธอจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร
สัญญาเที่ยงหรือไม่เที่ยง

ไม่เที่ยง ภันเต

ก็สิ่งใดไม่เที่ยง
สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า

เป็นทุกข์ ภันเต

ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ควรหรือหนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า
นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา

ไม่ควรเห็นอย่างนั้น ภันเต

ภิกษุทั้งหลาย
เธอจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร
สังขารเที่ยงหรือไม่เที่ยง

ไม่เที่ยง ภันเต

ก็สิ่งใดไม่เที่ยง
สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า

เป็นทุกข์ ภันเต

ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ควรหรือหนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า
นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา

ไม่ควรเห็นอย่างนั้น ภันเต

ภิกษุทั้งหลาย
เธอจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร
วิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง

ไม่เที่ยง ภันเต

ก็สิ่งใดไม่เที่ยง
สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า

เป็นทุกข์ ภันเต

ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ควรหรือหนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า
นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา

ไม่ควรเห็นอย่างนั้น ภันเต



ภิกษุทั้งหลาย
เพราะเหตุนั้นแหละ

รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง
ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบันก็ตาม
เป็นภายในหรือภายนอกก็ตาม
หยาบหรือละเอียดก็ตาม
เลวหรือประณีตก็ตาม
อยู่ในที่ไกลหรือใกล้ก็ตาม

รูปทั้งหมดนั้น
เธอพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ
ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า
นั่นไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา

เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง
ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบันก็ตาม
เป็นภายในหรือภายนอกก็ตาม
หยาบหรือละเอียดก็ตาม
เลวหรือประณีตก็ตาม
อยู่ในที่ไกลหรือใกล้ก็ตาม

เวทนาทั้งหมดนั้น
เธอพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ
ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า
นั่นไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา

สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง
ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบันก็ตาม
เป็นภายในหรือภายนอกก็ตาม
หยาบหรือละเอียดก็ตาม
เลวหรือประณีตก็ตาม
อยู่ในที่ไกลหรือใกล้ก็ตาม

สัญญาทั้งหมดนั้น
เธอพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ
ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า
นั่นไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา

สังขารอย่างใดอย่างหนึ่ง
ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบันก็ตาม
เป็นภายในหรือภายนอกก็ตาม
หยาบหรือละเอียดก็ตาม
เลวหรือประณีตก็ตาม
อยู่ในที่ไกลหรือใกล้ก็ตาม

สังขารทั้งหมดนั้น
เธอพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ
ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า
นั่นไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา

วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง
ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบันก็ตาม
เป็นภายในหรือภายนอกก็ตาม
หยาบหรือละเอียดก็ตาม
เลวหรือประณีตก็ตาม
อยู่ในที่ไกลหรือใกล้ก็ตาม

วิญญาณทั้งหมดนั้น
เธอพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ
ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า
นั่นไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา



ภิกษุทั้งหลาย
อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเวทนา
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัญญา
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสังขารทั้งหลาย
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณ

เมื่อเบื่อหน่าย
ย่อมคลายกำหนัด

เพราะคลายกำหนัด
ย่อมหลุดพ้น

เมื่อหลุดพ้นแล้ว
ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว

เธอย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มีอีก ดังนี้

เมื่อพระผู้มีพระภาคกำลังตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่
ภิกษุปัญจวัคคีย์ก็มีจิตหลุดพ้นจากอาสวะ เพราะไม่มีอุปาทาน


( บาลี – ขนฺธ. สํ. ๑๗/๘๒-๘๕/๑๒๗-๑๓๐ )
เทียบเคียงพระไตรปิฎกบาลีสยามรัฐ กดที่นี้


Create by buddha-quote.com