สัญญา ๑๐ ประการ
สมัยหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
ก็สมัยนั้น ท่านพระคิริมานนท์อาพาธ ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนักครั้งนั้น
ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่สมควร
ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า…
ภันเต
ท่านพระคิริมานนท์อาพาธ
ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก
สาธุ ภันเต
ขอพระผู้มีพระภาคได้โปรดอาศัยความอนุเคราะห์
เสด็จไปเยี่ยมท่านพระคิริมานนท์ยังที่อยู่เถิดพระผู้มีพระภาคตรัสว่า
อานนท์
ถ้าเธอพึงเข้าไปหาภิกษุคิริมานนท์
แล้วกล่าวสัญญา ๑๐ ประการแก่เธอข้อที่อาพาธของภิกษุคิริมานนท์
จะพึงสงบระงับไปโดยพลัน
เพราะได้ฟังสัญญา ๑๐ ประการนั้น
เป็นฐานะที่จะมีได้สัญญา ๑๐ ประการอะไรบ้าง คือ
( ๑ ) อนิจจสัญญา
( ๒ ) อนัตตสัญญา
( ๓ ) อสุภสัญญา
( ๔ ) อาทีนวสัญญา
( ๕ ) ปหานสัญญา
( ๖ ) วิราคสัญญา
( ๗ ) นิโรธสัญญา
( ๘ ) สัพพโลเกอนภิรตสัญญา
( ๙ ) สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา
( ๑๐ ) อานาปานสติ
อานนท์
ก็อนิจจสัญญาเป็นอย่างไร คืออานนท์
ภิกษุในกรณีนี้ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง
ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่ารูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยงย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็น
โดยความเป็นของไม่เที่ยง
ในอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ด้วยประการอย่างนี้
อานนท์ นี้เรียกว่า อนิจจสัญญา
อานนท์
ก็อนัตตสัญญาเป็นอย่างไร คืออานนท์
ภิกษุในกรณีนี้ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง
ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่าตาเป็นอนัตตา รูปเป็นอนัตตา
หูเป็นอนัตตา เสียงเป็นอนัตตา
จมูกเป็นอนัตตา กลิ่นเป็นอนัตตา
ลิ้นเป็นอนัตตา รสเป็นอนัตตา
กายเป็นอนัตตา โผฏฐัพพะเป็นอนัตตา
ใจเป็นอนัตตา ธรรมเป็นอนัตตาย่อมพิจารณาเห็น
โดยความเป็นอนัตตาในอายตนะทั้งหลาย
ทั้งภายในและภายนอก ๖ ประการเหล่านี้ด้วยประการอย่างนี้
อานนท์ นี้เรียกว่า อนัตตสัญญา
อานนท์
ก็อสุภสัญญาเป็นอย่างไร คืออานนท์
ภิกษุในกรณีนี้ย่อมพิจารณาเห็นกายนี้นั่นแหละ
เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป
เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงมา
มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ
เต็มไปด้วยของไม่สะอาด มีประการต่าง ๆ ว่า
ในกายนี้มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม เนื้อหัวใจ
ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย
อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด
เหงื่อ มันข้น น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตรย่อมพิจารณาเห็น
โดยความเป็นของไม่งามในกายนี้ด้วยประการอย่างนี้
อานนท์ นี้เรียกว่า อสุภสัญญา
อานนท์
ก็อาทีนวสัญญาเป็นอย่างไร คืออานนท์
ภิกษุในกรณีนี้ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง
ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่ากายนี้มีทุกข์มาก มีโทษมาก
เพราะฉะนั้น อาพาธต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นในกายนี้ คือโรคตา โรคหู โรคจมูก โรคลิ้น โรคกาย
โรคศีรษะ โรคที่ใบหู โรคปาก โรคฟัน
โรคไอ โรคหืด โรคไข้หวัด โรคไข้พิษ
โรคไข้เซื่องซึม โรคในท้อง โรคลมสลบ
โรคบิด โรคจุกเสียด โรคลงราก
โรคเรื้อน โรคฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ
โรคลมบ้าหมู โรคหิดเปื่อย โรคหิดด้าน
โรคคุดทะราดหูด โรคละอองบวม
โรคอาเจียนโลหิต โรคดีเดือด โรคเบาหวาน
โรคเริม โรคพุพอง โรคริดสีดวงอาพาธมีน้ำดีเป็นเหตุ อาพาธมีเสมหะเป็นเหตุ
อาพาธมีลมเป็นเหตุ อาพาธมีไข้สันนิบาต
อาพาธอันเกิดจากฤดูแปรปรวน
อาพาธอันเกิดจากการบริหารกายไม่สม่ำเสมอ
อาพาธอันเกิดจากทำความเพียรเกินกำลัง
อาพาธอันเกิดจากวิบากของกรรมความหนาว ความร้อน
ความหิว ความกระหาย
ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะย่อมพิจารณาเห็น
โดยความเป็นโทษในกายนี้ด้วยประการอย่างนี้
อานนท์ นี้เรียกว่า อาทีนวสัญญา
อานนท์
ก็ปหานสัญญาเป็นอย่างไร คืออานนท์
ภิกษุในกรณีนี้ย่อมไม่ยินดี ย่อมละ ย่อมบรรเทา
ย่อมทำให้หมดสิ้นไป
ย่อมทำให้ไม่มีเหลือ
ซึ่งกามวิตกที่เกิดขึ้นแล้วย่อมไม่ยินดี ย่อมละ ย่อมบรรเทา
ย่อมทำให้หมดสิ้นไป
ย่อมทำให้ไม่มีเหลือ
ซึ่งพยาบาทวิตกที่เกิดขึ้นแล้วย่อมไม่ยินดี ย่อมละ ย่อมบรรเทา
ย่อมทำให้หมดสิ้นไป
ย่อมให้ไม่มีเหลือ
ซึ่งวิหิงสาวิตกที่เกิดขึ้นแล้วย่อมไม่ยินดี ย่อมละ ย่อมบรรเทา
ย่อมทำให้หมดสิ้นไป
ย่อมให้ไม่มีเหลือ
ซึ่งอกุศลธรรมอันเป็นบาปทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้วอานนท์ นี้เรียกว่า ปหานสัญญา
อานนท์
ก็วิราคสัญญาเป็นอย่างไร คืออานนท์
ภิกษุในกรณีนี้ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง
ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่านั่นสงบ นั่นประณีต
นั่นคือธรรมเป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง
เป็นที่สละคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง
เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา
เป็นความคลายกำหนัด เป็นนิพพานอานนท์ นี้เรียกว่า วิราคสัญญา
อานนท์
ก็นิโรธสัญญาเป็นอย่างไร คืออานนท์
ภิกษุในกรณีนี้ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง
ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่านั่นสงบ นั่นประณีต
นั่นคือธรรมเป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง
เป็นที่สละคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง
เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา
เป็นความดับ เป็นนิพพานอานนท์ นี้เรียกว่า นิโรธสัญญา
อานนท์
ก็สัพพโลเกอนภิรตสัญญาเป็นอย่างไร คืออานนท์
ภิกษุในกรณีนี้ละอุปายะ ( เหตุที่นำไปสู่ภพ )
และอุปาทาน ( ความยึดมั่น )
อันเป็นที่ตั้ง เป็นที่ยึดมั่น และเป็นอนุสัยแห่งจิต
เธอย่อมงดเว้น ไม่ถือมั่นอยู่อานนท์ นี้เรียกว่า
สัพพโลเกอนภิรตสัญญา
อานนท์
ก็สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญาเป็นอย่างไร คืออานนท์
ภิกษุในกรณีนี้ย่อมอึดอัด ย่อมระอา
ย่อมเกลียดชังต่อสังขารทั้งปวงอานนท์ นี้เรียกว่า
สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา
อานนท์
ก็อานาปานสติเป็นอย่างไร คืออานนท์
ภิกษุในกรณีนี้ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง
นั่งคู้ขาเข้ามาโดยรอบ
ตั้งกายตรงดำรงสติเฉพาะหน้าเธอนั้นมีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก
เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว
เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกยาว
เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสั้น…
ย่อมทำการศึกษาว่า
เราจักรู้พร้อมซึ่งกายทั้งปวงหายใจเข้าย่อมทำการศึกษาว่า
เราจักรู้พร้อมซึ่งกายทั้งปวงหายใจออก…
ย่อมทำการศึกษาว่า
เราจักทำกายสังขารให้ระงับหายใจเข้าย่อมทำการศึกษาว่า
เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้ระงับหายใจออก…
ย่อมทำการศึกษาว่า
เราจักรู้พร้อมซึ่งปีติหายใจเข้าย่อมทำการศึกษาว่า
เราจักรู้พร้อมซึ่งปีติหายใจออก…
ย่อมทำการศึกษาว่า
เราจักรู้พร้อมซึ่งสุขหายใจเข้าย่อมทำการศึกษาว่า
เราจักรู้พร้อมซึ่งสุขหายใจออก…
ย่อมทำการศึกษาว่า
เราจักรู้พร้อมซึ่งจิตตสังขารหายใจเข้าย่อมทำการศึกษาว่า
เราจักรู้พร้อมซึ่งจิตตสังขารหายใจออก…
ย่อมทำการศึกษาว่า
เราจักทำจิตตสังขารให้ระงับหายใจเข้าย่อมทำการศึกษาว่า
เราจักทำจิตตสังขารให้ระงับหายใจออก…
ย่อมทำการศึกษาว่า
เราจักรู้พร้อมซึ่งจิตหายใจเข้าย่อมทำการศึกษาว่า
เราจักรู้พร้อมซึ่งจิตหายใจออก…
ย่อมทำการศึกษาว่า
เราจักทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งหายใจเข้าย่อมทำการศึกษาว่า
เราจักทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งหายใจออก…
ย่อมทำการศึกษาว่า
เราจักทำจิตให้ตั้งมั่นหายใจเข้าย่อมทำการศึกษาว่า
เราจักทำจิตให้ตั้งมั่นหายใจออก…
ย่อมทำการศึกษาว่า
เราจักปล่อยจิตหายใจเข้าย่อมทำการศึกษาว่า
เราจักปล่อยจิตหายใจออก…
ย่อมทำการศึกษาว่า
เราจักพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงหายใจเข้าย่อมทำการศึกษาว่า
เราจักพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงหายใจออก…
ย่อมทำการศึกษาว่า
เราจักพิจารณาเห็นความจางคลายหายใจเข้าย่อมทำการศึกษาว่า
เราจักพิจารณาเห็นความจางคลายหายใจออก…
ย่อมทำการศึกษาว่า
เราจักพิจารณาเห็นความดับไม่เหลือหายใจเข้าย่อมทำการศึกษาว่า
เราจักพิจารณาเห็นความดับไม่เหลือหายใจออก…
ย่อมทำการศึกษาว่า
เราจักพิจารณาเห็นความสลัดคืนหายใจเข้าย่อมทำการศึกษาว่า
เราจักพิจารณาเห็นความสลัดคืนหายใจออกอานนท์ นี้เรียกว่า อานาปานสติ
อานนท์
ถ้าเธอพึงเข้าไปหาภิกษุคิริมานนท์
แล้วกล่าวสัญญา ๑๐ ประการเหล่านี้แก่เธอข้อที่อาพาธของภิกษุคิริมานนท์
จะพึงสงบระงับไปโดยพลัน
เพราะได้ฟังสัญญา ๑๐ ประการนี้
นั่นเป็นฐานะที่จะมีได้…
ลำดับนั้นแล
ท่านพระอานนท์ได้เรียนสัญญา ๑๐ ประการนี้
ในสำนักของพระผู้มีพระภาคแล้ว
ได้เข้าไปหาท่านพระคิริมานนท์ยังที่อยู่
ครั้นแล้วได้กล่าวสัญญา ๑๐ ประการ แก่ท่านพระคิริมานนท์ครั้งนั้น
อาพาธนั้นของท่านพระคิริมานนท์ก็สงบระงับโดยพลัน
เพราะได้ฟังสัญญา ๑๐ ประการนี้
ท่านพระคิริมานนท์หายจากอาพาธนั้น
ก็แล อาพาธนั้น
เป็นโรคอันท่านพระคิริมานนท์ละได้แล้ว ด้วยประการดังนี้แล
( บาลี – ทสก. อํ. ๒๔/๑๑๕-๑๒๐/๖๐ )
เทียบเคียงพระไตรปิฎกบาลีสยามรัฐ กดที่นี้