พระโสดาบันมีญาณหยั่งรู้
เหตุให้เกิดขึ้นและเหตุให้ดับไปของโลก
ภิกษุทั้งหลาย !
อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว
ย่อมไม่มีความสงสัยอย่างนี้ว่าเพราะอะไรมี อะไรจึงมีหนอ
เพราะอะไรเกิดขึ้น อะไรจึงเกิดขึ้นเพราะอะไรมี นามรูปจึงมี
เพราะอะไรมี สฬายตนะจึงมี
เพราะอะไรมี ผัสสะจึงมี
เพราะอะไรมี เวทนาจึงมี
เพราะอะไรมี ตัณหาจึงมี
เพราะอะไรมี อุปาทานจึงมี
เพราะอะไรมี ภพจึงมี
เพราะอะไรมี ชาติจึงมี
เพราะอะไรมี ชรามรณะจึงมี ดังนี้…
ภิกษุทั้งหลาย !
โดยที่แท้อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว
ย่อมมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้
โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นว่าเพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้นเพราะวิญญาณมี นามรูปจึงมี
เพราะนามรูปมี สฬายตนะจึงมี
เพราะสฬายตนะมี ผัสสะจึงมี
เพราะผัสสะมี เวทนาจึงมี
เพราะเวทนามี ตัณหาจึงมี
เพราะตัณหามี อุปาทานจึงมี
เพราะอุปาทานมี ภพจึงมี
เพราะภพมี ชาติจึงมี
เพราะชาติมี ชรามรณะจึงมี ดังนี้อริยสาวกนั้นย่อมรู้ประจักษ์อย่างนี้ว่า
โลกนี้ย่อมเกิดขึ้นด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้
ภิกษุทั้งหลาย !
อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว
ย่อมไม่มีความสงสัยอย่างนี้ว่าเพราะอะไรไม่มี อะไรจึงไม่มีหนอ
เพราะอะไรดับ อะไรจึงดับเพราะอะไรไม่มี นามรูปจึงไม่มี
เพราะอะไรไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี
เพราะอะไรไม่มี ผัสสะจึงไม่มี
เพราะอะไรไม่มี เวทนาจึงไม่มี
เพราะอะไรไม่มี ตัณหาจึงไม่มี
เพราะอะไรไม่มี อุปาทานจึงไม่มี
เพราะอะไรไม่มี ภพจึงไม่มี
เพราะอะไรไม่มี ชาติจึงไม่มี
เพราะอะไรไม่มี ชรามรณะจึงไม่มี ดังนี้…
ภิกษุทั้งหลาย !
โดยที่แท้อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว
ย่อมมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้
โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นว่าเพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี
เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับเพราะวิญญาณไม่มี นามรูปจึงไม่มี
เพราะนามรูปไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี
เพราะสฬายตนะไม่มี ผัสสะจึงไม่มี
เพราะผัสสะไม่มี เวทนาจึงไม่มี
เพราะเวทนาไม่มี ตัณหาจึงไม่มี
เพราะตัณหาไม่มี อุปาทานจึงไม่มี
เพราะอุปาทานไม่มี ภพจึงไม่มี
เพราะภพไม่มี ชาติจึงไม่มี
เพราะชาติไม่มี ชรามรณะจึงไม่มี ดังนี้อริยสาวกนั้นย่อมรู้ประจักษ์อย่างนี้ว่า
โลกนี้ย่อมดับด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้
ภิกษุทั้งหลาย !
อริยสาวกย่อมมารู้ประจักษ์ถึง
เหตุเกิดและความดับแห่งโลก
ตามที่เป็นจริงอย่างนี้ ในกาลใดในกาลนั้น
เราเรียกอริยสาวกนี้ว่าผู้สมบูรณ์แล้วด้วยทิฏฐิ ดังนี้บ้าง
ผู้สมบูรณ์แล้วด้วยทัสสนะ ดังนี้บ้าง
ผู้มาถึงพระสัทธรรมนี้แล้ว ดังนี้บ้าง
ผู้ได้เห็นอยู่ซึ่งพระสัทธรรมนี้ ดังนี้บ้าง
ผู้ประกอบแล้วด้วยญาณอันเป็นเสขะ ดังนี้บ้าง
ผู้ประกอบแล้วด้วยวิชชาอันเป็นเสขะ ดังนี้บ้าง
ผู้ถึงซึ่งกระแสแห่งธรรมแล้ว ดังนี้บ้าง
ผู้ประเสริฐมีปัญญาเครื่องชำแรกกิเลส ดังนี้บ้าง
ยืนอยู่จรดประตูแห่งอมตะ ดังนี้บ้างดังนี้ แล
( บาลี – นิทาน. สํ. ๑๖/๙๒-๙๖/๑๗๘-๑๘๗ )
เทียบเคียงพระไตรปิฎกบาลีสยามรัฐ กดที่นี้