ความเข้าใจผิดเรื่องกรรม
ที่อริยบุคคลจะต้องละได้



ภิกษุทั้งหลาย
ลัทธิ ๓ ลัทธิเหล่านี้มีอยู่
เป็นลัทธิซึ่งแม้บัณฑิตจะพากันไตร่ตรอง
จะหยิบขึ้นตรวจสอบ
จะหยิบขึ้นวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างไร
แม้จะบิดผันกันมาอย่างไร ก็ชวนให้น้อมไป
เพื่อการไม่ประกอบกรรมที่ดีงามอยู่นั่นเอง

ภิกษุทั้งหลาย
ลัทธิ ๓ ลัทธินั้นเป็นอย่างไร คือ

( ๑ )
สมณะและพราหมณ์บางพวก
มีถ้อยคำและความเห็นว่า
บุรุษบุคคลใด ๆ ก็ตาม ที่ได้รับสุข รับทุกข์
หรือไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์
ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะกรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อน

( ๒ )
สมณะและพราหมณ์บางพวก
มีถ้อยคำและความเห็นว่า
บุรุษบุคคลใด ๆ ก็ตาม ที่ได้รับสุข รับทุกข์
หรือไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์
ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะอิศวรเนรมิตให้

( ๓ )
สมณะและพราหมณ์บางพวก
มีถ้อยคำและความเห็นว่า
บุรุษบุคคลใด ๆ ก็ตาม ที่ได้รับสุข รับทุกข์
หรือไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์
ทั้งหมดนั้นไม่มีอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยเลย



เชื่อว่าสุขและทุกข์ เกิดจากกรรมเก่าอย่างเดียว

ภิกษุทั้งหลาย
ในบรรดาลัทธิทั้ง ๓ นั้น
สมณะพราหมณ์พวกใด
มีถ้อยคำและความเห็นว่า
บุคคลได้รับสุขหรือทุกข์ หรือไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์
เพราะกรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อนอย่างเดียว มีอยู่

เราเข้าไปหาสมณพราหมณ์เหล่านั้น
แล้วสอบถามความที่เขายังยืนยันอยู่ดังนั้นแล้ว

เรากล่าวกะเขาว่า
ถ้ากระนั้นคนที่ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์
ประพฤติผิดพรหมจรรย์ พูดเท็จ พูดคำหยาบ
พูดยุให้แตกกัน พูดเพ้อเจ้อ
มีใจละโมบเพ่งเล็ง มีใจพยาบาท
มีความเห็นวิปริตเหล่านี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง
นั่นก็ต้องเป็นเพราะกรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อน

เมื่อมัวแต่ถือเอากรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อน
มาเป็นสาระสำคัญดังนี้แล้ว
คนเหล่านั้นก็ไม่มีความอยากทำ
หรือความพยายามทำในข้อที่ว่า
สิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ อีกต่อไป

เมื่อกรณียกิจและอกรณียกิจ
ไม่ถูกทำหรือถูกละเว้นให้จริง ๆ จัง ๆ กันแล้ว
คนพวกที่ไม่มีสติคุ้มครองตนเหล่านั้น
ก็ไม่มีอะไรที่จะมาเรียกตนว่า
เป็นสมณะอย่างชอบธรรมได้ ดังนี้



เชื่อว่าสุขและทุกข์ เกิดจากเทพเจ้าบันดาลให้

ภิกษุทั้งหลาย
ในบรรดาลัทธิทั้ง ๓ นั้น
สมณะพราหมณ์พวกใด
มีถ้อยคำและความเห็นว่า
บุคคลได้รับสุขหรือทุกข์ หรือไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์
ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะอิศวรเนรมิตให้ ดังนี้ มีอยู่

เราเข้าไปหาสมณพราหมณ์เหล่านั้น
แล้วสอบถามความที่เขายังยืนยันอยู่ดังนั้นแล้ว

เรากล่าวกะเขาว่า
ถ้ากระนั้นคนที่ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์
ประพฤติผิดพรหมจรรย์ พูดเท็จ พูดคำหยาบ
พูดยุให้แตกกัน พูดเพ้อเจ้อ
มีใจละโมบเพ่งเล็ง มีใจพยาบาท
มีความเห็นวิปริตเหล่านี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง
นั่นก็ต้องเป็นเพราะการเนรมิตของอิศวรด้วย

เมื่อมัวแต่ถือเอาการเนรมิตของอิศวร
มาเป็นสาระสำคัญดังนี้แล้ว
คนเหล่านั้นก็ไม่มีความอยากทำ
หรือความพยายามทำในข้อที่ว่า
สิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ อีกต่อไป

เมื่อกรณียกิจและอกรณียกิจ
ไม่ถูกทำหรือถูกละเว้นให้จริง ๆ จัง ๆ กันแล้ว
คนพวกที่ไม่มีสติคุ้มครองตนเหล่านั้น
ก็ไม่มีอะไรที่จะมาเรียกตนว่า
เป็นสมณะอย่างชอบธรรมได้ ดังนี้



เชื่อว่าสุขและทุกข์เกิดขึ้นเองลอย ๆ ไม่มีอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย

ภิกษุทั้งหลาย
ในบรรดาลัทธิทั้ง ๓ นั้น
สมณะพราหมณ์พวกใด
มีถ้อยคำและความเห็นว่า
บุคคลได้รับสุขหรือทุกข์ หรือไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์
ทั้งหมดนั้นไม่มีอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยเลย ดังนี้ มีอยู่

เราเข้าไปหาสมณพราหมณ์เหล่านั้น
แล้วสอบถามความที่เขายังยืนยันอยู่ดังนั้นแล้ว

เรากล่าวกะเขาว่า
ถ้ากระนั้นคนที่ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์
ประพฤติผิดพรหมจรรย์ พูดเท็จ พูดคำหยาบ
พูดยุให้แตกกัน พูดเพ้อเจ้อ
มีใจละโมบเพ่งเล็ง มีใจพยาบาท
มีความเห็นวิปริตเหล่านี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง
นั่นก็ต้องไม่มีอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยเลยด้วย

เมื่อมัวแต่ถือเอาความไม่มีอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยเลย
มาเป็นสาระสำคัญดังนี้แล้ว
คนเหล่านั้นก็ไม่มีความอยากทำ
หรือความพยายามทำในข้อที่ว่า
สิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ อีกต่อไป

เมื่อกรณียกิจและอกรณียกิจ
ไม่ถูกทำหรือถูกละเว้นให้จริง ๆ จัง ๆ กันแล้ว
คนพวกที่ไม่มีสติคุ้มครองตนเหล่านั้น
ก็ไม่มีอะไรที่จะมาเรียกตนว่า
เป็นสมณะอย่างชอบธรรมได้ ดังนี้


( บาลี – ติก. อํ. ๒๐/๒๒๒-๒๒๘/๕๐๑ )
เทียบเคียงพระไตรปิฎกบาลีสยามรัฐ กดที่นี้


Create by buddha-quote.com