ญาณวัตถุ ๗๗
ภิกษุทั้งหลาย
เราจักแสดงซึ่งญาณวัตถุ ๗๗ อย่าง
แก่พวกเธอทั้งหลายพวกเธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น
จงทำในใจให้สำเร็จประโยชน์
เราจักกล่าวบัดนี้ครั้นภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นทูลรับสนองพระพุทธดำรัสนั้นแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถ้อยคำเหล่านี้ว่าภิกษุทั้งหลาย
ก็ญาณวัตถุ ๗๗ อย่าง
เป็นอย่างไรเล่าญาณวัตถุ ๗๗ อย่างนั้น คือ
( ๑ ) ญาณ คือความรู้ว่า
เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ( ๒ ) ญาณ คือความรู้ว่า
เมื่อชาติไม่มี ชรามรณะย่อมไม่มี( ๓ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ( ๔ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เมื่อชาติไม่มี ชรามรณะย่อมไม่มี( ๕ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ( ๖ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เมื่อชาติไม่มี ชรามรณะย่อมไม่มี( ๗ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ธัมมัฏฐิติญาณในกรณีนี้
ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไปเป็นธรรมดา
( ๘ ) ญาณ คือความรู้ว่า
เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ( ๙ ) ญาณ คือความรู้ว่า
เมื่อภพไม่มี ชาติย่อมไม่มี( ๑๐ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ( ๑๑ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เมื่อภพไม่มี ชาติย่อมไม่มี( ๑๒ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ( ๑๓ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เมื่อภพไม่มี ชาติย่อมไม่มี( ๑๔ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ธัมมัฏฐิติญาณในกรณีนี้
ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไปเป็นธรรมดา
( ๑๕ ) ญาณ คือความรู้ว่า
เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ( ๑๖ ) ญาณ คือความรู้ว่า
เมื่ออุปาทานไม่มี ภพย่อมไม่มี( ๑๗ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ( ๑๘ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เมื่ออุปาทานไม่มี ภพย่อมไม่มี( ๑๙ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ( ๒๐ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เมื่ออุปาทานไม่มี ภพย่อมไม่มี( ๒๑ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ธัมมัฏฐิติญาณในกรณีนี้
ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไปเป็นธรรมดา
( ๒๒ ) ญาณ คือความรู้ว่า
เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน( ๒๓ ) ญาณ คือความรู้ว่า
เมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานย่อมไม่มี( ๒๔ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน( ๒๕ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานย่อมไม่มี( ๒๖ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน( ๒๗ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานย่อมไม่มี( ๒๘ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ธัมมัฏฐิติญาณในกรณีนี้
ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไปเป็นธรรมดา
( ๒๙ ) ญาณ คือความรู้ว่า
เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา( ๓๐ ) ญาณ คือความรู้ว่า
เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาย่อมไม่มี( ๓๑ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา( ๓๒ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาย่อมไม่มี( ๓๓ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา( ๓๔ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาย่อมไม่มี( ๓๕ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ธัมมัฏฐิติญาณในกรณีนี้
ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไปเป็นธรรมดา
( ๓๖ ) ญาณ คือความรู้ว่า
เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา( ๓๗ ) ญาณ คือความรู้ว่า
เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาย่อมไม่มี( ๓๘ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา( ๓๙ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาย่อมไม่มี( ๔๐ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา( ๔๑ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาย่อมไม่มี( ๔๒ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ธัมมัฏฐิติญาณในกรณีนี้
ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไปเป็นธรรมดา
( ๔๓ ) ญาณ คือความรู้ว่า
เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ( ๔๔ ) ญาณ คือความรู้ว่า
เมื่อสฬายตนะไม่มี ผัสสะย่อมไม่มี( ๔๕ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ( ๔๖ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เมื่อสฬายตนะไม่มี ผัสสะย่อมไม่มี( ๔๗ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ( ๔๘ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เมื่อสฬายตนะไม่มี ผัสสะย่อมไม่มี( ๔๙ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ธัมมัฏฐิติญาณในกรณีนี้
ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไปเป็นธรรมดา
( ๕๐ ) ญาณ คือความรู้ว่า
เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ( ๕๑ ) ญาณ คือความรู้ว่า
เมื่อนามรูปไม่มี สฬายตนะย่อมไม่มี( ๕๒ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ( ๕๓ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เมื่อนามรูปไม่มี สฬายตนะย่อมไม่มี( ๕๔ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ( ๕๕ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เมื่อนามรูปไม่มี สฬายตนะย่อมไม่มี( ๕๖ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ธัมมัฏฐิติญาณในกรณีนี้
ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไปเป็นธรรมดา
( ๕๗ ) ญาณ คือความรู้ว่า
เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป( ๕๘ ) ญาณ คือความรู้ว่า
เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปย่อมไม่มี( ๕๙ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป( ๖๐ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปย่อมไม่มี( ๖๑ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป( ๖๒ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปย่อมไม่มี( ๖๓ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ธัมมัฏฐิติญาณในกรณีนี้
ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไปเป็นธรรมดา
( ๖๔ ) ญาณ คือความรู้ว่า
เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ( ๖๕ ) ญาณ คือความรู้ว่า
เมื่อสังขารทั้งหลายไม่มี วิญญาณย่อมไม่มี( ๖๖ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ( ๖๗ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เมื่อสังขารทั้งหลายไม่มี วิญญาณย่อมไม่มี( ๖๘ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ( ๖๙ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เมื่อสังขารทั้งหลายไม่มี วิญญาณย่อมไม่มี( ๗๐ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ธัมมัฏฐิติญาณในกรณีนี้
ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไปเป็นธรรมดา
( ๗๑ ) ญาณ คือความรู้ว่า
เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย( ๗๒ ) ญาณ คือความรู้ว่า
เมื่ออวิชชาไม่มี สังขารทั้งหลายย่อมไม่มี( ๗๓ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย( ๗๔ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต
เมื่ออวิชชาไม่มี สังขารทั้งหลายย่อมไม่มี( ๗๕ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย( ๗๖ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต
เมื่ออวิชชาไม่มี สังขารทั้งหลายย่อมไม่มี( ๗๗ ) ญาณ คือความรู้ว่า
แม้ธัมมัฏฐิติญาณในกรณีนี้
ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไปเป็นธรรมดา…
ภิกษุทั้งหลาย
เหล่านี้เรียกว่า
ญาณวัตถุ ๗๗ อย่าง ดังนี้แล
( บาลี – นิทาน. สํ. ๑๖/๗๑-๗๒/๑๒๖-๑๒๗ )
เทียบเคียงพระไตรปิฎกบาลีสยามรัฐ กดที่นี้