ผัสสายตนะ ๖
ภิกษุทั้งหลาย
ผัสสายตนะ ๖ ประการเหล่านี้
อันบุคคลไม่ฝึกฝน ไม่คุ้มครอง ไม่รักษา
ไม่สำรวมระวังแล้ว
ย่อมนำทุกข์หนักมาให้…
ผัสสายตนะ ๖ ประการ
อะไรบ้าง คือ( ๑ )
ภิกษุทั้งหลาย
ผัสสายตนะ คือ ตา
อันบุคคลไม่ฝึกฝน ไม่คุ้มครอง ไม่รักษา
ไม่สำรวมระวังแล้ว
ย่อมนำทุกข์หนักมาให้( ๒ )
ภิกษุทั้งหลาย
ผัสสายตนะ คือ หู
อันบุคคลไม่ฝึกฝน ไม่คุ้มครอง ไม่รักษา
ไม่สำรวมระวังแล้ว
ย่อมนำทุกข์หนักมาให้( ๓ )
ภิกษุทั้งหลาย
ผัสสายตนะ คือ จมูก
อันบุคคลไม่ฝึกฝน ไม่คุ้มครอง ไม่รักษา
ไม่สำรวมระวังแล้ว
ย่อมนำทุกข์หนักมาให้( ๔ )
ภิกษุทั้งหลาย
ผัสสายตนะ คือ ลิ้น
อันบุคคลไม่ฝึกฝน ไม่คุ้มครอง ไม่รักษา
ไม่สำรวมระวังแล้ว
ย่อมนำทุกข์หนักมาให้( ๕ )
ภิกษุทั้งหลาย
ผัสสายตนะ คือ กาย
อันบุคคลไม่ฝึกฝน ไม่คุ้มครอง ไม่รักษา
ไม่สำรวมระวังแล้ว
ย่อมนำทุกข์หนักมาให้( ๖ )
ภิกษุทั้งหลาย
ผัสสายตนะ คือ ใจ
อันบุคคลไม่ฝึกฝน ไม่คุ้มครอง ไม่รักษา
ไม่สำรวมระวังแล้ว
ย่อมนำทุกข์หนักมาให้…
ภิกษุทั้งหลาย
ผัสสายตนะ ๖ ประการเหล่านี้แล
อันบุคคลไม่ฝึกฝน ไม่คุ้มครอง ไม่รักษา
ไม่สำรวมระวังแล้ว
ย่อมนำทุกข์หนักมาให้
ภิกษุทั้งหลาย
ผัสสายตนะ ๖ ประการเหล่านี้
อันบุคคลฝึกฝนดี คุ้มครองดี รักษาดี
สำรวมระวังดีแล้ว
ย่อมนำสุขมากมาให้…
ผัสสายตนะ ๖ ประการ
อะไรบ้าง คือ( ๑ )
ภิกษุทั้งหลาย
ผัสสายตนะ คือ ตา
อันบุคคลฝึกฝนดี คุ้มครองดี รักษาดี
สำรวมระวังดีแล้ว
ย่อมนำสุขมากมาให้( ๒ )
ภิกษุทั้งหลาย
ผัสสายตนะ คือ หู
อันบุคคลฝึกฝนดี คุ้มครองดี รักษาดี
สำรวมระวังดีแล้ว
ย่อมนำสุขมากมาให้( ๓ )
ภิกษุทั้งหลาย
ผัสสายตนะ คือ จมูก
อันบุคคลฝึกฝนดี คุ้มครองดี รักษาดี
สำรวมระวังดีแล้ว
ย่อมนำสุขมากมาให้( ๔ )
ภิกษุทั้งหลาย
ผัสสายตนะ คือ ลิ้น
อันบุคคลฝึกฝนดี คุ้มครองดี รักษาดี
สำรวมระวังดีแล้ว
ย่อมนำสุขมากมาให้( ๕ )
ภิกษุทั้งหลาย
ผัสสายตนะ คือ กาย
อันบุคคลฝึกฝนดี คุ้มครองดี รักษาดี
สำรวมระวังดีแล้ว
ย่อมนำสุขมากมาให้( ๖ )
ภิกษุทั้งหลาย
ผัสสายตนะ คือ ใจ
อันบุคคลฝึกฝนดี คุ้มครองดี รักษาดี
สำรวมระวังดีแล้ว
ย่อมนำสุขมากมาให้…
ภิกษุทั้งหลาย
ผัสสายตนะ ๖ ประการเหล่านี้แล
อันบุคคลฝึกฝนดี คุ้มครองดี รักษาดี
สำรวมระวังดีแล้ว
ย่อมนำสุขมากมาให้
ภิกษุทั้งหลาย
บุคคลผู้ไม่สำรวม
ผัสสายตนะ ๖ ประการเหล่าใด
ย่อมถึงความทุกข์บุคคลเหล่าใด
ได้สำรวมระวังอายตนะเหล่านั้น
บุคคลเหล่านั้น มีศรัทธาเป็นเพื่อนสอง
ย่อมเป็นผู้ไม่ชุ่มด้วยราคะอยู่…
บุคคลเห็นรูปที่น่าชอบใจ
หรือเห็นรูปที่ไม่ชอบใจแล้วพึงบรรเทาราคะในรูปที่น่าชอบใจ
และไม่พึงเสียใจว่ารูปของเราไม่น่ารัก
เราเห็นรูปไม่น่ารักเข้าแล้ว…
ได้ยินเสียงที่น่ารัก
หรือได้ยินเสียงที่ไม่น่ารักแล้วพึงสงบใจในเสียงที่น่ารัก
พึงบรรเทาโทสะในเสียงไม่ที่น่ารัก
และไม่พึงเสียใจว่าเสียงของเราไม่น่ารัก
เราได้ฟังเสียงที่ไม่น่ารักเข้าแล้ว…
ได้ดมกลิ่นที่น่ายินดีชอบใจ
หรือได้ดมกลิ่นที่ไม่สะอาด ไม่น่ารักใคร่พึงบรรเทาความหงุดหงิดในกลิ่นที่ไม่น่าชอบใจ
และไม่พึงพอใจในกลิ่นที่น่าชอบใจ…
ได้ลิ้มรสที่อร่อยเล็กน้อย
หรือได้ลิ้มรสที่ไม่อร่อยในบางคราวไม่พึงลิ้มรสที่อร่อยด้วยความติดใจ
และไม่ควรยินร้ายเมื่อลิ้มรสที่ไม่อร่อย…
ถูกสัมผัสที่เป็นสุขกระทบเข้าแล้ว ไม่พึงมัวเมา
หรือถูกผัสสะที่เป็นทุกข์กระทบเข้าแล้ว
ก็ไม่พึงหวั่นไหวควรวางเฉยผัสสะในทั้งสอง
ทั้งที่เป็นสุขและเป็นทุกข์
ไม่ควรยินดี ไม่ควรยินร้ายเพราะผัสสะอะไร ๆ
นรชนทั้งหลายที่ทรามปัญญา
มีความสำคัญในธรรมเป็นเหตุให้เนิ่นช้า
ยินดีอยู่ด้วยธรรมเป็นเหตุให้เนิ่นช้า
เป็นสัตว์ที่มีสัญญา ย่อมวนเวียนอยู่ก็บุคคลบรรเทาใจ
อันเกี่ยวข้องด้วยเรือนทั้งปวงแล้ว
ย่อมรักษาใจให้ประกอบด้วยเนกขัมมะในกาลใดที่บุคคลอบรมใจดีแล้ว
ในอารมณ์ ๖ ประการอย่างนี้ในกาลนั้น จิตของบุคคลนั้น
อันผัสสะที่เป็นสุข หรือผัสสะเป็นทุกข์
กระทบเข้าแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหวในที่ไหน ๆภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายครอบงำราคะและโทสะได้แล้ว
ย่อมเป็นผู้ถึงจุดจบของชาติและมรณะ
( บาลี – สฬา. สํ. ๑๘/๘๘-๘๙/๑๒๘-๑๓๐ )
เทียบเคียงพระไตรปิฎกบาลีสยามรัฐ กดที่นี้