ความเพียรสามารถทำได้ทุกอิริยาบถ ( ๒ )



ภิกษุทั้งหลาย
เมื่อภิกษุกำลังเดินอยู่
ถ้าแม้ความคิดในทางกามเกิดขึ้น
หรือความคิดในทางพยาบาทเกิดขึ้น
หรือความคิดในทางวิหิงสาเกิดขึ้น

และภิกษุก็รับเอาความคิดนั้นไว้
ไม่สละทิ้งไป ไม่ทำให้บรรเทา
ไม่ทำให้สิ้นสุดลงไปจนไม่มีเหลือ

ภิกษุที่เป็นเช่นนี้
แม้กำลังเดินอยู่ เราก็เรียกว่า
เป็นผู้ไม่ทำความเพียรเผากิเลส
ไม่มีโอตตัปปะ เป็นคนเกียจคร้าน
มีความเพียรอันเลวทรามอยู่เนืองนิตย์

ภิกษุทั้งหลาย
เมื่อภิกษุกำลังยืนอยู่
ถ้าแม้ความคิดในทางกามเกิดขึ้น
หรือความคิดในทางพยาบาทเกิดขึ้น
หรือความคิดในทางวิหิงสาเกิดขึ้น

และภิกษุก็รับเอาความคิดนั้นไว้
ไม่สละทิ้งไป ไม่ทำให้บรรเทา
ไม่ทำให้สิ้นสุดลงไปจนไม่มีเหลือ

ภิกษุที่เป็นเช่นนี้
แม้กำลังยืนอยู่ เราก็เรียกว่า
เป็นผู้ไม่ทำความเพียรเผากิเลส
ไม่มีโอตตัปปะ เป็นคนเกียจคร้าน
มีความเพียรอันเลวทรามอยู่เนืองนิตย์

ภิกษุทั้งหลาย
เมื่อภิกษุกำลังนั่งอยู่
ถ้าแม้ความคิดในทางกามเกิดขึ้น
หรือความคิดในทางพยาบาทเกิดขึ้น
หรือความคิดในทางวิหิงสาเกิดขึ้น

และภิกษุก็รับเอาความคิดนั้นไว้
ไม่สละทิ้งไป ไม่ทำให้บรรเทา
ไม่ทำให้สิ้นสุดลงไปจนไม่มีเหลือ

ภิกษุที่เป็นเช่นนี้
แม้กำลังนั่งอยู่ เราก็เรียกว่า
เป็นผู้ไม่ทำความเพียรเผากิเลส
ไม่มีโอตตัปปะ เป็นคนเกียจคร้าน
มีความเพียรอันเลวทรามอยู่เนืองนิตย์

ภิกษุทั้งหลาย
เมื่อภิกษุกำลังนอนตื่นอยู่
ถ้าแม้ความคิดในทางกามเกิดขึ้น
หรือความคิดในทางพยาบาทเกิดขึ้น
หรือความคิดในทางวิหิงสาเกิดขึ้น

และภิกษุก็รับเอาความคิดนั้นไว้
ไม่สละทิ้งไป ไม่ทำให้บรรเทา
ไม่ทำให้สิ้นสุดลงไปจนไม่มีเหลือ

ภิกษุที่เป็นเช่นนี้
แม้กำลังนอนตื่นอยู่ เราก็เรียกว่า
เป็นผู้ไม่ทำความเพียรเผากิเลส
ไม่มีโอตตัปปะ เป็นคนเกียจคร้าน
มีความเพียรอันเลวทรามอยู่เนืองนิตย์



ภิกษุทั้งหลาย
เมื่อภิกษุกำลังเดินอยู่
ถ้าแม้ความคิดในทางกามเกิดขึ้น
หรือความคิดในทางพยาบาทเกิดขึ้น
หรือความคิดในทางวิหิงสาเกิดขึ้น

และภิกษุก็ไม่รับเอาความคิดนั้นไว้
( แต่ ) สละทิ้งไป ทำให้บรรเทา
ทำให้สิ้นสุดลงไปจนไม่มีเหลือ

ภิกษุที่เป็นเช่นนี้
แม้กำลังเดินอยู่ เราก็เรียกว่า
เป็นผู้มีความเพียรเผากิเลส
มีโอตตัปปะ มีความเพียรอันปรารภแล้ว
มีตนส่งไปแล้วในการทำเช่นนั้นอยู่เนืองนิตย์

ภิกษุทั้งหลาย
เมื่อภิกษุกำลังยืนอยู่
ถ้าแม้ความคิดในทางกามเกิดขึ้น
หรือความคิดในทางพยาบาทเกิดขึ้น
หรือความคิดในทางวิหิงสาเกิดขึ้น

และภิกษุก็ไม่รับเอาความคิดนั้นไว้
( แต่ ) สละทิ้งไป ทำให้บรรเทา
ทำให้สิ้นสุดลงไปจนไม่มีเหลือ

ภิกษุที่เป็นเช่นนี้
แม้กำลังยืนอยู่ เราก็เรียกว่า
เป็นผู้มีความเพียรเผากิเลส
มีโอตตัปปะ มีความเพียรอันปรารภแล้ว
มีตนส่งไปแล้วในการทำเช่นนั้นอยู่เนืองนิตย์

ภิกษุทั้งหลาย
เมื่อภิกษุกำลังนั่งอยู่
ถ้าแม้ความคิดในทางกามเกิดขึ้น
หรือความคิดในทางพยาบาทเกิดขึ้น
หรือความคิดในทางวิหิงสาเกิดขึ้น

และภิกษุก็ไม่รับเอาความคิดนั้นไว้
( แต่ ) สละทิ้งไป ทำให้บรรเทา
ทำให้สิ้นสุดลงไปจนไม่มีเหลือ

ภิกษุที่เป็นเช่นนี้
แม้กำลังนั่งอยู่ เราก็เรียกว่า
เป็นผู้มีความเพียรเผากิเลส
มีโอตตัปปะ มีความเพียรอันปรารภแล้ว
มีตนส่งไปแล้วในการทำเช่นนั้นอยู่เนืองนิตย์

ภิกษุทั้งหลาย
เมื่อภิกษุกำลังนอนตื่นอยู่
ถ้าแม้ความคิดในทางกามเกิดขึ้น
หรือความคิดในทางพยาบาทเกิดขึ้น
หรือความคิดในทางวิหิงสาเกิดขึ้น

และภิกษุก็ไม่รับเอาความคิดนั้นไว้
( แต่ ) สละทิ้งไป ทำให้บรรเทา
ทำให้สิ้นสุดลงไปจนไม่มีเหลือ

ภิกษุที่เป็นเช่นนี้
แม้กำลังนอนตื่นอยู่ เราก็เรียกว่า
เป็นผู้มีความเพียรเผากิเลส
มีโอตตัปปะ มีความเพียรอันปรารภแล้ว
มีตนส่งไปแล้วในการทำเช่นนั้นอยู่เนืองนิตย์



ถ้าภิกษุใด
เดินอยู่ก็ตาม
ยืนอยู่ก็ตาม
นั่งอยู่ก็ตาม
หรือนอนอยู่ก็ตาม
ย่อมคิดถึงความคิดอันเป็นบาป
อันอิงอาศัยเรือนอยู่

ภิกษุผู้เช่นนั้น
เป็นผู้ดำเนินไปสู่ทางผิด
หมกมุ่นแล้วในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความลุ่มหลง
เป็นผู้ไม่สมควรที่จะบรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม

แต่ถ้าภิกษุใด
เดินอยู่ก็ตาม
ยืนอยู่ก็ตาม
นั่งอยู่ก็ตาม
หรือนอนอยู่ก็ตาม
ทำความคิดให้สงบได้
ยินดีในธรรมเป็นที่สงบแห่งความคิด

ภิกษุเช่นนั้น
เป็นผู้สมควรที่จะบรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม


( บาลี – จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๖-๑๘/๑๑)
เทียบเคียงพระไตรปิฎกบาลีสยามรัฐ กดที่นี้


Create by buddha-quote.com