ปฏิจจสมุปบาท
ปฏิจจสมุปปันนธรรม



พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า

ภิกษุทั้งหลาย
เราจักแสดงปฏิจจสมุปบาท
และปฏิจจสมุปปันนธรรมแก่เธอทั้งหลาย

เธอทั้งหลายจงฟังธรรมนั้น
จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว



ภิกษุทั้งหลาย
ก็ปฏิจจสมุปบาทเป็นอย่างไร คือ

ภิกษุทั้งหลาย
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ

ภิกษุทั้งหลาย
ตถาคตทั้งหลายจะบังเกิดขึ้นก็ตาม จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม
ธาตุนั้นย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว คือ
ความตั้งอยู่ตามธรรมดา
ความเป็นไปตามธรรมดา
ความที่เมื่อมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
ตถาคตย่อมรู้พร้อม ย่อมรู้ทั่วถึงซึ่งธาตุนั้น
ครั้นแล้วย่อมบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง
เปิดเผย จำแนกแจกแจง ทำให้ง่ายและกล่าวว่า

ภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงมาดูเถิด
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ ดังนี้

ภิกษุทั้งหลาย
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ

ภิกษุทั้งหลาย
ตถาคตทั้งหลายจะบังเกิดขึ้นก็ตาม จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม
ธาตุนั้นย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว คือ
ความตั้งอยู่ตามธรรมดา
ความเป็นไปตามธรรมดา
ความที่เมื่อมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
ตถาคตย่อมรู้พร้อม ย่อมรู้ทั่วถึงซึ่งธาตุนั้น
ครั้นแล้วย่อมบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง
เปิดเผย จำแนกแจกแจง ทำให้ง่ายและกล่าวว่า

ภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงมาดูเถิด
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ดังนี้

ภิกษุทั้งหลาย
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ

ภิกษุทั้งหลาย
ตถาคตทั้งหลายจะบังเกิดขึ้นก็ตาม จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม
ธาตุนั้นย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว คือ
ความตั้งอยู่ตามธรรมดา
ความเป็นไปตามธรรมดา
ความที่เมื่อมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
ตถาคตย่อมรู้พร้อม ย่อมรู้ทั่วถึงซึ่งธาตุนั้น
ครั้นแล้วย่อมบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง
เปิดเผย จำแนกแจกแจง ทำให้ง่ายและกล่าวว่า

ภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงมาดูเถิด
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ดังนี้

ภิกษุทั้งหลาย
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน

ภิกษุทั้งหลาย
ตถาคตทั้งหลายจะบังเกิดขึ้นก็ตาม จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม
ธาตุนั้นย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว คือ
ความตั้งอยู่ตามธรรมดา
ความเป็นไปตามธรรมดา
ความที่เมื่อมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
ตถาคตย่อมรู้พร้อม ย่อมรู้ทั่วถึงซึ่งธาตุนั้น
ครั้นแล้วย่อมบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง
เปิดเผย จำแนกแจกแจง ทำให้ง่ายและกล่าวว่า

ภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงมาดูเถิด
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ดังนี้

ภิกษุทั้งหลาย
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา

ภิกษุทั้งหลาย
ตถาคตทั้งหลายจะบังเกิดขึ้นก็ตาม จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม
ธาตุนั้นย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว คือ
ความตั้งอยู่ตามธรรมดา
ความเป็นไปตามธรรมดา
ความที่เมื่อมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
ตถาคตย่อมรู้พร้อม ย่อมรู้ทั่วถึงซึ่งธาตุนั้น
ครั้นแล้วย่อมบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง
เปิดเผย จำแนกแจกแจง ทำให้ง่ายและกล่าวว่า

ภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงมาดูเถิด
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ดังนี้

ภิกษุทั้งหลาย
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา

ภิกษุทั้งหลาย
ตถาคตทั้งหลายจะบังเกิดขึ้นก็ตาม จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม
ธาตุนั้นย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว คือ
ความตั้งอยู่ตามธรรมดา
ความเป็นไปตามธรรมดา
ความที่เมื่อมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
ตถาคตย่อมรู้พร้อม ย่อมรู้ทั่วถึงซึ่งธาตุนั้น
ครั้นแล้วย่อมบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง
เปิดเผย จำแนกแจกแจง ทำให้ง่ายและกล่าวว่า

ภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงมาดูเถิด
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ดังนี้

ภิกษุทั้งหลาย
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ

ภิกษุทั้งหลาย
ตถาคตทั้งหลายจะบังเกิดขึ้นก็ตาม จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม
ธาตุนั้นย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว คือ
ความตั้งอยู่ตามธรรมดา
ความเป็นไปตามธรรมดา
ความที่เมื่อมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
ตถาคตย่อมรู้พร้อม ย่อมรู้ทั่วถึงซึ่งธาตุนั้น
ครั้นแล้วย่อมบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง
เปิดเผย จำแนกแจกแจง ทำให้ง่ายและกล่าวว่า

ภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงมาดูเถิด
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ดังนี้

ภิกษุทั้งหลาย
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ

ภิกษุทั้งหลาย
ตถาคตทั้งหลายจะบังเกิดขึ้นก็ตาม จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม
ธาตุนั้นย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว คือ
ความตั้งอยู่ตามธรรมดา
ความเป็นไปตามธรรมดา
ความที่เมื่อมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
ตถาคตย่อมรู้พร้อม ย่อมรู้ทั่วถึงซึ่งธาตุนั้น
ครั้นแล้วย่อมบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง
เปิดเผย จำแนกแจกแจง ทำให้ง่ายและกล่าวว่า

ภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงมาดูเถิด
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ ดังนี้

ภิกษุทั้งหลาย
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป

ภิกษุทั้งหลาย
ตถาคตทั้งหลายจะบังเกิดขึ้นก็ตาม จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม
ธาตุนั้นย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว คือ
ความตั้งอยู่ตามธรรมดา
ความเป็นไปตามธรรมดา
ความที่เมื่อมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
ตถาคตย่อมรู้พร้อม ย่อมรู้ทั่วถึงซึ่งธาตุนั้น
ครั้นแล้วย่อมบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง
เปิดเผย จำแนกแจกแจง ทำให้ง่ายและกล่าวว่า

ภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงมาดูเถิด
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป ดังนี้

ภิกษุทั้งหลาย
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ

ภิกษุทั้งหลาย
ตถาคตทั้งหลายจะบังเกิดขึ้นก็ตาม จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม
ธาตุนั้นย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว คือ
ความตั้งอยู่ตามธรรมดา
ความเป็นไปตามธรรมดา
ความที่เมื่อมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
ตถาคตย่อมรู้พร้อม ย่อมรู้ทั่วถึงซึ่งธาตุนั้น
ครั้นแล้วย่อมบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง
เปิดเผย จำแนกแจกแจง ทำให้ง่ายและกล่าวว่า

ภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงมาดูเถิด
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ดังนี้

ภิกษุทั้งหลาย
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย

ภิกษุทั้งหลาย
ตถาคตทั้งหลายจะบังเกิดขึ้นก็ตาม จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม
ธาตุนั้นย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว คือ
ความตั้งอยู่ตามธรรมดา
ความเป็นไปตามธรรมดา
ความที่เมื่อมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
ตถาคตย่อมรู้พร้อม ย่อมรู้ทั่วถึงซึ่งธาตุนั้น
ครั้นแล้วย่อมบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง
เปิดเผย จำแนกแจกแจง ทำให้ง่ายและกล่าวว่า

ภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงมาดูเถิด
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย ดังนี้

ภิกษุทั้งหลาย
เพราะเหตุดังนี้แล ธาตุใดในกรณีนั้น

อันเป็นตถตา คือ
ความเป็นอย่างนั้น

เป็นอวิตถตา คือ
ความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น

เป็นอนัญญถตา คือ
ความไม่เป็นไปโดยประการอื่น

เป็นอิทัปปัจจยตา คือ
ความที่เมื่อมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น

ภิกษุทั้งหลาย
นี้เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท



ภิกษุทั้งหลาย
ก็ปฏิจจสมุปปันนธรรมเป็นอย่างไร คือ

ภิกษุทั้งหลาย
ชราและมรณะเป็นของไม่เที่ยง
อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น
มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
มีความจางคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา

ภิกษุทั้งหลาย
ชาติเป็นของไม่เที่ยง
อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น

มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
มีความจางคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา

ภิกษุทั้งหลาย
ภพเป็นของไม่เที่ยง
อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น

มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
มีความจางคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา

ภิกษุทั้งหลาย
อุปาทานเป็นของไม่เที่ยง
อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น

มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
มีความจางคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา

ภิกษุทั้งหลาย
ตัณหาเป็นของไม่เที่ยง
อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น

มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
มีความจางคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา

ภิกษุทั้งหลาย
เวทนาเป็นของไม่เที่ยง
อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น

มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
มีความจางคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา

ภิกษุทั้งหลาย
ผัสสะเป็นของไม่เที่ยง
อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น

มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
มีความจางคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา

ภิกษุทั้งหลาย
สฬายตนะเป็นของไม่เที่ยง
อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น

มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
มีความจางคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา

ภิกษุทั้งหลาย
นามรูปเป็นของไม่เที่ยง
อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น

มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
มีความจางคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา

ภิกษุทั้งหลาย
วิญญาณเป็นของไม่เที่ยง
อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น

มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
มีความจางคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา

ภิกษุทั้งหลาย
สังขารทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง
อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น

มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
มีความจางคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา

ภิกษุทั้งหลาย
อวิชชาเป็นของไม่เที่ยง
อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น

มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
มีความจางคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา

ภิกษุทั้งหลาย
นี้เรียกว่า ปฏิจจสมุปปันธรรม



ภิกษุทั้งหลาย
ในกาลใดปฏิจจสมุปบาทนี้
และปฏิจจสมุปปันนธรรมเหล่านี้
เป็นสิ่งที่อริยสาวกเห็นชัดแล้วด้วยดี
ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว

ในกาลนั้น
การที่อริยสาวกนั้นจักแล่นไปสู่ทิฏฐิ
อันปรารภที่สุดในเบื้องต้นว่า
ในอดีตกาลเราได้มีแล้วหรือหนอ
ในอดีตกาลเราไม่ได้มีแล้วหรือหนอ
ในอดีตกาลเราได้เป็นอะไรแล้วหนอ
ในอดีตกาลเราได้เป็นอย่างไรแล้วหนอ
ในอดีตกาลเราเป็นอะไรแล้วจึงได้เป็นอะไรอีกหนอ

หรือว่าอริยสาวกนั้นจักแล่นไปสู่ทิฏฐิ
อันปรารภที่สุดในเบื้องปลายว่า
ในอนาคตกาลเราจักมีหรือไม่หนอ
ในอนาคตกาลเราจักไม่มีหรือหนอ
ในอนาคตกาลเราจักเป็นอะไรหนอ
ในอนาคตกาลเราจักเป็นอย่างไรหนอ
ในอนาคตกาลเราจักเป็นอะไรแล้วจักเป็นอะไรต่อไปหนอ

หรือว่าจักยังมีความสงสัย
ปรารภกาลอันเป็นปัจจุบันในบัดนี้ว่า
เรามีอยู่หรือหนอ
เราไม่มีอยู่หรือหนอ
เราเป็นอะไรอยู่หนอ
เราเป็นอย่างไรอยู่หนอ
สัตว์นี้มาจากที่ไหน
แล้วจักเป็นผู้ไปสู่ที่ไหนอีกหนอ ดังนี้

ภิกษุทั้งหลาย
ข้อนี้ไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้

ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร

เพราะเหตุว่าปฏิจจสมุปบาทนี้
และปฏิจจสมุปปันนธรรมเหล่านี้
เป็นสิ่งที่อริยสาวกเห็นชัดแล้วด้วยดี
ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว


( บาลี – นิทาน. สํ. ๑๖/๓๐-๓๒/๖๐-๖๓ )
เทียบเคียงพระไตรปิฎกบาลีสยามรัฐ กดที่นี้


Create by buddha-quote.com