หลักการดำรงชีพ
เพื่อประโยชน์สุขในวันนี้
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !
พวกข้าพระองค์เป็นคฤหัสถ์
บริโภคกาม แออัดอยู่ด้วยบุตร
ครองเรือนใช้สอยกระแจะจันทน์จากแคว้นกาสี
ทัดทรงพวงดอกไม้ของหอมเครื่องลูบไล้ ยินดีทองและเงินอยู่ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !
ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงแสดงธรรม
ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อความสุขทั้งในทิฏฐธรรม ( ในปัจจุบัน )
และในสัมปรายะ ( ในเวลาถัดต่อมา )
แก่พวกข้าพระองค์ผู้อยู่ในสถานะเช่นนี้เถิด พระเจ้าข้า !…
พ๎ยัคฆปัชชะ !
ธรรม ๔ ประการเหล่านี้
เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อความสุขแก่กุลบุตรในทิฏฐธรรม๔ ประการ อย่างไรเล่า ?
๔ ประการ คืออุฏฐานสัมปทา
( ความขยันในอาชีพ )อารักขสัมปทา
( การรักษาทรัพย์ )กัลยาณมิตตตา
( ความมีมิตรดี )สมชีวิตา
( การเลี้ยงชีวิตอย่างสมดุลย์พอเพียงแก่ฐานะ )
พ๎ยัคฆปัชชะ !
อุฏฐานสัมปทา เป็นอย่างไรเล่า ?พ๎ยัคฆปัชชะ !
กุลบุตรในกรณีนี้สำเร็จการเป็นอยู่ด้วยการลุกขึ้นกระทำการงาน
คือด้วยกสิกรรมหรือวานิชกรรม โครักขกรรม
อาชีพผู้ถืออาวุธ อาชีพราชบุรุษ
หรือด้วยศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่งในอาชีพนั้น ๆ
เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญ ไม่เกียจคร้าน
ประกอบด้วยการสอดส่องในอุบายนั้น ๆ
สามารถกระทำ สามารถจัดให้กระทำพ๎ยัคฆปัชชะ !
นี้เรียกว่า อุฏฐานสัมปทา
( ความขยันในอาชีพ )
พ๎ยัคฆปัชชะ !
อารักขสัมปทา เป็นอย่างไรเล่า ?พ๎ยัคฆปัชชะ !
กุลบุตรในกรณีนี้โภคะอันกุลบุตร
หาได้มาด้วยความเพียรเป็นเครื่องลุกขึ้น
รวบรวมมาด้วยกำลังแขน มีตัวชุ่มด้วยเหงื่อ
เป็นโภคทรัพย์ประกอบด้วยธรรม ได้มาโดยธรรมเขารักษาคุ้มครองอย่างเต็มที่ด้วยหวังว่า
อย่างไรเสียพระราชาจะไม่ริบทรัพย์ของเราไป
โจรจะไม่ปล้นเอาไป ไฟจะไม่ไหม้ น้ำจะไม่พัดพาไป
ทายาทอันไม่รักใคร่เราจะไม่ยื้อแย่งเอาไป ดังนี้พ๎ยัคฆปัชชะ !
นี้เรียกว่า อารักขสัมปทา
( การรักษาทรัพย์ )
พ๎ยัคฆปัชชะ !
กัลยาณมิตตตา เป็นอย่างไรเล่า ?พ๎ยัคฆปัชชะ !
กุลบุตรในกรณีนี้อยู่อาศัยในบ้านหรือนิคมใด
ถ้ามีบุคคลใด ๆ ในบ้านหรือนิคมนั้น
เป็นคหบดีหรือบุตรคหบดีก็ดี
เป็นคนหนุ่มที่เจริญด้วยศีล
หรือเป็นคนแก่ที่เจริญด้วยศีลก็ดีล้วนแต่ถึงพร้อมด้วยศรัทธา
ถึงพร้อมด้วยศีล
ถึงพร้อมด้วยจาคะ
ถึงพร้อมด้วยปัญญาอยู่แล้วไซร้…
กุลบุตรนั้นก็ดำรงตนร่วม
พูดจาร่วมสากัจฉาร่วมกับชนเหล่านั้น
เขาติดตามศึกษาความถึงพร้อมด้วยสัทธา
โดยอนุรูปแก่บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยสัทธาเขาติดตามศึกษาความถึงพร้อมด้วยศีล
โดยอนุรูปแก่บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยศีลเขาติดตามศึกษาความถึงพร้อมด้วยจาคะ
โดยอนุรูปแก่บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยจาคะเขาติดตามศึกษาความถึงพร้อมด้วยปัญญา
โดยอนุรูปแก่บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา
อยู่ในที่นั้น ๆพ๎ยัคฆปัชชะ !
นี้เรียกว่า กัลยาณมิตตตา
( ความมีมิตรดี )
พ๎ยัคฆปัชชะ !
สมชีวิตา เป็นอย่างไรเล่า ?พ๎ยัคฆปัชชะ !
กุลบุตรในกรณีนี้รู้จักความได้มาแห่งโภคทรัพย์
รู้จักความสิ้นไปแห่งโภคทรัพย์
แล้วดำรงชีวิตอยู่อย่างสม่ำเสมอ
ไม่ฟุ่มเฟือยนัก ไม่ฝืดเคืองนัก โดยมีหลักว่ารายได้ของเราจักท่วมรายจ่าย
และรายจ่ายของเราจักไม่ท่วมรายรับ
ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้…
พ๎ยัคฆปัชชะ !
เปรียบเหมือนคนถือตาชั่งหรือลูกมือของเขา
ยกตาชั่งขึ้นแล้ว ก็รู้ว่ายังขาดอยู่เท่านี้หรือเกินไปแล้วเท่านี้ดังนี้ฉันใด กุลบุตรนี้ก็ฉันนั้น
เขารู้จักความได้มาแห่งโภคทรัพย์
รู้จักความสิ้นไปแห่งโภคทรัพย์
แล้วดำรงชีวิตอยู่อย่างสม่ำเสมอ
ไม่ฟุ่มเฟือยนัก ไม่ฝืดเคืองนัก โดยมีหลักว่ารายได้ของเราจักท่วมรายจ่าย
และรายจ่ายของเราจักไม่ท่วมรายรับ
ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้…
พ๎ยัคฆปัชชะ !
ถ้ากุลบุตรนี้เป็นผู้มีรายได้น้อย
แต่สำเร็จการเป็นอยู่อย่างฟุ่มเฟือยแล้วไซร้
ก็จะมีผู้กล่าวว่า กุลบุตรนี้ใช้จ่ายโภคทรัพย์
เหมือนคนกินผลมะเดื่อ ( สุรุ่ยสุร่าย )ฉันใดก็ฉันนั้น
พ๎ยัคฆปัชชะ !
แต่ถ้ากุลบุตรเป็นผู้มีรายได้มหาศาล
แต่สำเร็จการเป็นอยู่อย่างแร้นแค้นแล้วไซร้
ก็จะมีผู้กล่าวว่า กุลบุตรนี้จักตาย
อดตายอยากอย่างคนอนาถา…
พ๎ยัคฆปัชชะ !
เมื่อใดกุลบุตรนี้
รู้จักความได้มาแห่งโภคทรัพย์
รู้จักความสิ้นไปแห่งโภคทรัพย์
แล้วดำรงชีวิตอยู่อย่างสม่ำเสมอ
ไม่ฟุ่มเฟือยนัก ไม่ฝืดเคืองนัก โดยมีหลักว่ารายได้ของเราจักท่วมรายจ่าย
และรายจ่ายของเราจักไม่ท่วมรายรับ
ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้พ๎ยัคฆปัชชะ !
นี้เราเรียกว่า สมชีวิตา
( การเลี้ยงชีวิตอย่างสมดุลย์พอเพียงแก่ฐานะ )
( บาลี – อฏฺฐก. อํ. ๒๓/๒๘๙-๒๙๔/๑๔๔ )
เทียบเคียงพระไตรปิฎกบาลีสยามรัฐ กดที่นี้