มิใช่ขณะ มิใช่สมัย
ในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย !
กาลมิใช่ขณะ มิใช่สมัย
ในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์แปดประการนี้แปดประการเป็นไฉน ?
…
ดูกรภิกษุทั้งหลาย !
ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้
เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก
เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่าเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรมและธรรมอันพระผู้มีพระภาคย่อมทรงแสดง
นำความสงบมาให้ เป็นไปเพื่อปรินิพพาน
ให้ถึงการตรัสรู้ อันพระสุคตเจ้าประกาศแล้วแต่บุคคลผู้นี้เข้าถึงนรกเสีย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย !
นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัย
ในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่หนึ่ง
อีกประการหนึ่งตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้
เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก
เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่าเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรมและธรรมอันพระผู้มีพระภาคย่อมทรงแสดง
นำความสงบมาให้ เป็นไปเพื่อปรินิพพาน
ให้ถึงการตรัสรู้ อันพระสุคตเจ้าประกาศแล้วแต่บุคคลผู้นี้เข้าถึงกำเนิดเดรัจฉานเสีย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย !
นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัย
ในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่สอง
อีกประการหนึ่งตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้
เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก
เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่าเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรมและธรรมอันพระผู้มีพระภาคย่อมทรงแสดง
นำความสงบมาให้ เป็นไปเพื่อปรินิพพาน
ให้ถึงการตรัสรู้ อันพระสุคตเจ้าประกาศแล้วแต่บุคคลผู้นี้เข้าถึงเปรตวิสัยเสีย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย !
นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัย
ในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่สาม
อีกประการหนึ่งตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้
เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก
เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่าเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรมและธรรมอันพระผู้มีพระภาคย่อมทรงแสดง
นำความสงบมาให้ เป็นไปเพื่อปรินิพพาน
ให้ถึงการตรัสรู้ อันพระสุคตเจ้าประกาศแล้วแต่บุคคลผู้นี้เข้าถึง
เทพนิกายผู้มีอายุยืนชั้นใดชั้นหนึ่งเสียดูกรภิกษุทั้งหลาย !
นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัย
ในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่สี่
อีกประการหนึ่งตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้
เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก
เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่าเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรมและธรรมอันพระผู้มีพระภาคย่อมทรงแสดง
นำความสงบมาให้ เป็นไปเพื่อปรินิพพาน
ให้ถึงการตรัสรู้ อันพระสุคตเจ้าประกาศแล้วแต่บุคคลผู้นี้กลับมาเกิดในปัจจันตชนบท
และอยู่ในพวกมิลักขะไม่รู้ดีรู้ชอบ
อันเป็นสถานที่ ไม่มีภิกษุ
ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาไปมาดูกรภิกษุทั้งหลาย !
นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัย
ในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ห้า
อีกประการหนึ่งตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้
เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก
เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่าเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรมและธรรมอันพระผู้มีพระภาคย่อมทรงแสดง
นำความสงบมาให้ เป็นไปเพื่อปรินิพพาน
ให้ถึงการตรัสรู้ อันพระสุคตเจ้าประกาศแล้วแต่บุคคลนี้กลับมาเกิดในมัชฌิมชนบท
แต่เขาเป็นมิจฉาทิฐิ มีความเห็นวิปริตว่าทานที่ให้แล้วไม่มีผล
ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล
การบวงสรวงไม่มีผล
ผลวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่วไม่มี
โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี
มารดาไม่มี บิดาไม่มี
สัตว์ทั้งหลายที่ผุดเกิดขึ้นไม่มีสมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
กระทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้และโลกหน้า
ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
แล้วสั่งสอนประชุมชนให้รู้ตาม ไม่มีในโลกดูกรภิกษุทั้งหลาย !
นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัย
ในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่หก
อีกประการหนึ่งตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้
เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก
เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่าเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรมและธรรมอันพระผู้มีพระภาคย่อมทรงแสดง
นำความสงบมาให้ เป็นไปเพื่อปรินิพพาน
ให้ถึงการตรัสรู้ อันพระสุคตเจ้าประกาศแล้วแต่บุคคลนี้กลับมาเกิดในมัชฌิมชนบท
แต่เขามีปัญญาทราม บ้าใบ้
ไม่สามารถรู้อรรถแห่งสุภาษิตและทุพภาษิตดูกรภิกษุทั้งหลาย !
นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัย
ในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่เจ็ด
อีกประการหนึ่งตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้
เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก
เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่าเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรมและธรรมอันพระผู้มีพระภาคย่อมทรงแสดง
นำความสงบมาให้ เป็นไปเพื่อปรินิพพาน
ให้ถึงการตรัสรู้ อันพระสุคตเจ้าประกาศแล้วแต่พระตถาคตมิได้แสดง
ถึงบุคคลผู้นี้จะเกิดในมัชฌิมชนบท
และมีปัญญา ไม่บ้าใบ้
ทั้งสามารถจะรู้อรรถแห่งสุภาษิตและทุพภาษิตดูกรภิกษุทั้งหลาย !
นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัย
ในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่แปด…
ดูกรภิกษุทั้งหลาย !
กาลอันมิใช่ขณะ มิใช่สมัย
ในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์แปดประการนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย !
ส่วนขณะและสมัย
ในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ มีประการเดียวประการเดียวเป็นไฉน ?
…
ดูกรภิกษุทั้งหลาย !
ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้
เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก
เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่าเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรมและธรรมอันพระผู้มีพระภาคย่อมทรงแสดง
นำความสงบมาให้ เป็นไปเพื่อปรินิพพาน
ให้ถึงการตรัสรู้ อันพระสุคตเจ้าประกาศแล้วและบุคคลนี้เกิดในมัชฌิมชนบท
ทั้งมีปัญญา ไม่บ้าใบ้
สามารถจะรู้อรรถแห่งสุภาษิตและทุพภาษิตได้ดูกรภิกษุทั้งหลาย !
นี้เป็นขณะและสมัย
ในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ประการเดียว
ชนเหล่าใดเกิดในมนุษยโลกแล้ว
เมื่อพระตถาคตทรงประกาศสัทธรรม
ไม่เข้าถึงขณะ ชนเหล่านั้นชื่อว่าล่วงขณะ
ชนเป็นอันมากกล่าวเวลาที่เสียไปว่า
กระทำอันตรายแก่ตนพระตถาคตเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก
ในกาลบางครั้งบางคราว การที่พระตถาคตเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ๑
การได้กำเนิดเป็นมนุษย์ ๑
การแสดงสัทธรรม ๑
ที่จะพร้อมกันเข้าได้ หาได้ยากในโลกชนผู้ใคร่ต่อประโยชน์
จึงควรพยายามในกาลดังกล่าวมานั้น
ที่ตนพอจะรู้ จะเข้าใจสัทธรรมได้
ขณะอย่าล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสียเพราะบุคคลที่ปล่อยเวลาให้ล่วงไป
พากันยัดเยียดในนรก ย่อมเศร้าโศกอยู่
หากเขาจะไม่สำเร็จอริยมรรค
อันเป็นธรรมตรงต่อสัทธรรมในโลกนี้ได้เขาผู้มีประโยชน์อันล่วงเสียแล้ว
จักเดือดร้อนสิ้นกาลนาน
เหมือนพ่อค้าผู้ปล่อยประโยชน์ล่วงไป เดือดร้อนอยู่ฉะนั้น คนผู้ถูกอวิชชาหุ้มห่อไว้
พรากจากสัทธรรม จักเสวยแต่สงสาร
คือ ชาติและมรณะสิ้นกาลนาน…
ส่วนชนเหล่าใด ได้อัตภาพเป็นมนุษย์แล้ว
เมื่อพระตถาคตประกาศสัทธรรม
ได้กระทำแล้ว จักกระทำ หรือกระทำอยู่
ตามพระดำรัสของพระศาสดา
ชนเหล่านั้นชื่อว่าได้ประสบขณะ คือ
การประพฤติพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยมในโลกชนเหล่าใดดำเนินไปตามมรรคา
ที่พระตถาคตเจ้าทรงประกาศแล้ว
สำรวมในศีลสังวรที่พระตถาคตเจ้า
ผู้มีจักษุเป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ ทรงแสดงแล้วคุ้มครองอินทรีย์ มีสติทุกเมื่อ
ไม่ชุ่มด้วยกิเลส ตัดอนุสัยทั้งปวง
อันแล่นไปตามกระแสบ่วงมารชนเหล่านั้นแล บรรลุความสิ้นอาสวะ
ถึงฝั่ง คือ นิพพานในโลกแล้ว
( บาลี – สตฺตก.-อฏฺฐก.-นวก. อํ. ๒๓/๒๒๙-๒๓๒/๑๑๙ )
เทียบเคียงพระไตรปิฎกบาลีสยามรัฐ กดที่นี้